10 พฤศจิกายน 2551

6.การจัดการการผลิตระหว่างประเทศ

6.การจัดการการผลิตระหว่างประเทศ
การผลิตระหว่างประเทศทั้งที่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก และการลงทุนการผลิตในต่างประเทศ มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เพราะการผลิตในแหล่งที่มีต้นทุนทรัพยากรการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศแม่ ย่อมสร้างความได้เปรียบแก่ธุรกิจ และการเคลื่อนย้ายทรัยพากรโดยเสรีข้ามพรหมแดนจะมีผลให้ผลผลิตรวมของโลกเพิ่มขึ้นตามทฤษฎีของการค้าระหว่างประเทศ

บทบาทของ Global Logistics ที่มีผลกระทบต่อ Production Management
ปัจจุบันการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมได้รุนแรงขึ้น การติดต่อสื่อสารท่โยงใยโลกให้ใกล้กันทำให้ผู้บริโภคได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และบริการที่หลากหลาย ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น การผลิตจึงต้องพยายามปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เพิ่มคุณภาพ และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น การผลิตไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบในประเทศที่แพงกว่า ถ้ามีแหล่งทรัพยากรอื่นที่ถูกกว่าเพื่อลดต้นทุนการผลิต ธุรกิจสามารถย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำกว่า เพื่อลดต้นทุนและเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของการกีดกันทางการค้า ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในลักษณะเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ผู้ขาย ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงลูกค้าที่เป็นผู้ใช้ การรวมตัวภายในอุตสาหกรรมเดียวกันในรูปแบบพันธมิตรทางกลยุทธ์ (Strategic Alliance) ก่อให้เกิดอำนาจการต่อรองกับลูกค้ามากขึ้น
ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และการตอบสนองลูกค้าเฉพาะราย (Customization) แพร่หลายมากขึ้น ลูกค้าเริ่มต้องการสินค้า และบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะแบบที่ไม่ซ้ำใคร การผลิตจึงมีแนวโน้มการผลิตต่อ Lot ลดน้อยลง ทำให้ต้องหาวิธีที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ดึงดูดลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อให้ทันกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง และความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการผลิตล้วนมีผลต่อคุณภาพ และต้นทุนของการผลิตเป็นอย่างมาก

ความหมายของการบริหารการผลิต
เป็นการบริหารจัดการเพื่อแปรสภาพปัจจัยนำเข้าให้กลายเป็นผลผลิตที่มีมูลค่ามากกว่าปัจจัยนำเข้า โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในกระบวนการผลิต


หน้าที่ในการบริหารการผลิต
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการเพิ่มผลผลิต คุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบ ซึ่งถือเป็นวัตถุประสงค์หลัก ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ในการบริหารการผลิตต้องมีหน้าที่ดังนี้
- กำหนดกลยุทธ์การผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรรวมทั้งฝ่ายผลิต
- กำหนดปรัชญา และระบบการผลิตรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน ต้องมีการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด รู้จักเอาเทคโนโลยี และวิธีการที่ทันสมัยมาใช้
- การพยากรณ์การผลิต เพื่อวางแผนเชิงปริมาณในกิจกรรมอื่นต่อไป
- การวางแผนกำลังการผลิต เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า
- การวางแผนการผลิตรวม เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า และเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ
- การบริหารของคงคลัง ต้องมีการจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- การเลือกทำเลที่ตั้ง เนื่องจากหากเลือกทำเลที่ตั้งที่ไม่เหมาะสมจะเป็นสาเหตุของต้นทุนอื่น ๆ ตามมา
- การวางผังโรงงาน เพื่อให้งานไหลอย่างคล่องตัว ลดความสูญเสีย สามารถตรวจสอบ และติดตามได้ง่ายที่สุด
- การจัดตารางการผลิต เพื่อความสะดวกของผู้ปฏิบัติว่าในแต่ละช่วงเวลาต้องมีการผลิตอะบ้าง จำนวนเท่าไหร่
- การบริหารแรงงานการผลิต เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
- การบริหารการขนส่งวัสดุ การนำเอาวัตถุดิบจากผู้ผลิตภายนอกเข้าสู่กระบวนการผลิตจนเป็นสินค้า และทำการจัดส่งไปยังผู้ซื้อ
- การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องจักรเสียหายขณะกำลังทำการผลิตโดยต้องคำนึงถึงต้นทุนการซ่อมแซมอีกด้วย

ประเภทของการผลิต แบ่งตามลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์
- การผลิตตามคำสั่งซื้อ (Made-to-Order) เป็นการผลิตที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การเตรียมการผลิต และวัตถุดิบที่ต้องการใช้ตลอดจนกระบวนการผลิตจึงไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตต้องใช้แบบอเนกประสงค์ แรงงานต้องมีความสามารถ และมีความชำนาญหลายด้าน เพื่อทำการผลิตสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้
- การผลิตเพื่อรอการจำหน่าย (Mode-to-Stock) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะ และมาตรฐานเดียวกันตามความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหญ่ การจัดหาวัตถุดิบ และการเตรียมการผลิตสามารถทำได้ล่วงหน้าได้ เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตใช้แบบเฉพาะด้าน แรงงานถูกอบรมมาเป็นพิเศษเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยเฉพาะ
- การผลิตเพื่อรอคำสั่งซื้อ (Assembly-to-Order) เป็นการผลิตชิ้นส่วนเพื่อประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้หลายชนิด ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นจะมีลักษณะแยกออกเป็นส่วนจำเพาะ หรือโมดูล โดยจะผลิตแต่ละโมดูลรอไว้ก่อน เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าจึงทำการประกอบเป็นสินค้าตามลักษณะที่ลูกค้าต้องการ

ประเภทของการผลิตแบ่งตามลักษณะของระบบการผลิต และปริมาณการผลิต
- การผลิตแบบโครงการ (Project Manufacturing) เป็นการผลิตสินค้าที่มีขนาดใหญ่ราคาแพง และมีลักษณะเฉพาะตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การผลิตแบบโครงการมักมีปริมาณการผลิตต่อครั้งน้อยมาก หรือผลิตครั้งละชิ้น และใช้เวลานาน เครื่องมือที่ใช้จึงต้องเป็นแบบอเนกประสงค์ซึ่งเคลื่อนย้ายได้ง่าย และคนงานต้องสมามารถทำงานได้หลายอย่าง จึงต้องใช้แรงงานฝีมือที่ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
- การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop หรือ Intermitten Production) เป็นการผลิตสินค้าที่มีลักษณะหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า โดยมีปริมาณการผลิตต่อครั้งเป็น Lot มีการเปลี่ยนสินค้าที่ผลิตค่อนข้างบ่อย สินค้ามีมาตรฐานไม่สูงมาก เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ จะถูกรวมกันตามหน้าที่การใช้งานไว้ในสถานีการผลิตแยกเป็นหมวดหมู่ตามส่วนต่าง ๆ ของผังโรงงาน การเดินเครื่องจักรแต่ละครั้งจะเป็นการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งจนได้ปริมาณตามที่ต้องการแล้วจึงเปลี่ยนไปผลิตสินค้าชนิดอื่นโดยใช้เครื่องจักรชุดเดิม
- การผลิตแบบไหลผ่าน หรือการผลิตตามสายการประกอบ หรือการผลิตแบบซ้ำ (Line-Flow or Assembly or Repetitive Production) เป็นการผลิตสินค้าที่เหมือนกันในปริมาณมาก การผลิตแบบไหลผ่านจะมีเครื่องจักร และอุปกรณ์เฉพาะของแต่ละสินค้าแยกกัน โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรร่วมกัน ดังนั้นเครื่องจักรที่ใช้จึงเป็นแบบเฉพาะงานเพื่อให้ได้ผลผลิตที่รวดเร็ว และปริมาณมาก ๆ
- การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Process or Continuous Flow Production) เป็นการผลิตสินค้าชนิดเดียวในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่องโดยใช้เครื่องจักรเฉพาะอย่าง
- การผลิตแบบเซลลูลาร์ (Cellular Manufacturing) การผลิตแบบเซลลูลาร์ในระบบการผลิตแบบพอเหมาะ จะทำให้ฝ่ายผลิตมีความยืดหยุ่นต่อปริมาณ และรูปบบผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า โดยสามารถเพิ่ม หรือลดคงงานในเซลล์ตามปริมาณความต้องการสินค้าของลูกค้าได้
- ระบบการผลิตแบบเป็นงวด (Batch System) การผลิตแบบนี้เป็นที่นิยมของ SMEs และเป็นระบบการผลิตแบบดั้งเดิม โดยพยายามที่จะประมาณความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน มีเวลาในการปรับตั้งเครื่องจักรหรือระบบแบบคงที่ สินค้าจะถูกผลิตงวดละมาก ๆ ตามปริมาณ EOQ ที่คำนวณไว้ เป้าหมายของระบบการผลิตแบบนื้คือการผลิตเต็มความสามารถของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง เมื่อแผนกหนึ่งได้ผลิตชิ้นส่นตามจำนวนที่ตั้งไว้เสร็จแล้วจึงถูกส่งไปยังแผนกถัดไป ทำให้มีจำนวนชิ้นงานคงค้างระหว่างการผลิต (Work in Process) สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก สินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตเสร็จจะถูกเก็บไว้ในคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งจะเก็บสินค้าไว้จนกว่าจะมีคำสั่งซื้อออกไป หากสินค้าคงคลังลดลง หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า หรือสินค้าไม่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า หรือของตลาด สินค้าเหล่านี้จะไร้ประโยชน์ทันที

กลยุทธ์การผลิตระหว่างประเทศ
บริษัทต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศมักมีการกำหนดกลยุทธ์ในด้านการผลิตโดยมุ่งเน้นเป้าหมายดังต่อไปนี้
- ประสิทธิผลด้านความประหยัด ได้แก่การลดต้นทุนการผลิตต่าง ๆ โดยผ่านการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ การใช้แรงงานในประเทศที่มีค่าแรงไม่สูง แต่มีระดับของทักษะ และฝีมือที่สามารถยอมรับได้
- การเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ คือระดับของความไว้วางใจในสินค้าของบริษัทในด้านการส่งมอบ และรักษาราคา
- การมีระดับคุณภาพที่ดีทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ
- มีความยืดหยุ่นในการผลิต สามารถที่จะผลิตสินค้าได้หลากหลาย มีการปรับปริมาณการผลิตได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของตลาด
- นวัตกรรม หมายถึงความสามารถที่จะพัฒนาแนวคิด หรือคิดค้นสินค้าใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

การดำเนินงานการผลิตระหว่างประเทศ
ต้องศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การเลือกทำเลที่ตั้ง และกำหนดขนาดของสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมต่อการผลิต
- การเลือกชนิดของกระบวนการผลิตตามความได้เปรียบ เปรียบเทียบที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศนั้นต่ำกว่าที่อื่น
- การควบคุมการผลิต
- การเลือกระดับของ Vertical Integration หรือ Outsourcing ของแต่ละโรงงานเพื่อที่จะสามารถป้อนวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง
- การประสานงานกันของหน่วยงานวิจัย และพัฒนาในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
- การถ่ายโดนเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการผลิตจากบริษัทแม่

วัตถุประสงค์ และแนวนโยบายการผลิตระหว่างประเทศ
แบ่งออกเป็น 5 ประการหลัก คือ
- ดำเนินการผลิตในประเทศแม่แล้วทำการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการอย่างกว้างขวาง
- การสร้างฐานการผลิตในแต่ละท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ
- การรวมนำแนวคิดแบบสากล และส่วนท้องถิ่นเข้าไว้ด้วยกัน
- การประสานมุมมองแบบสากล
- การสร้างศูนย์กลางของการผลิตซึ่งเกิดขึ้นในทำเลที่ตั้งต่าง ๆ โดยมิได้คำนึงถึงความใกล้ชิดกับตลาดท้องถิ่นต่าง ๆ แต่มุ่งหวังประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านั้น ๆ

วัตถุประสงค์ในกลยุทธ์การผลิตมีอยู่ 3 ประการคือ
- Technology – Driven Strategy เป็นการกำหนดที่ตั้งโรงงานที่อยู่ใกล้ตลาดขนาดใหญ่ และในประเทศที่มีรายได้สูงโดยบริษัทแม่จะทำการตัดสิน
- Marketing – Intensive Strategy เป็นการกำหนดให้โรงงานตั้งใกล้กับตลาดท้องถิ่น และอยู่ในความดูแลของท้องถิ่นนั้น ๆ
- Low – Cost Strategy เป็นการผลิตซึ่งมีจำนวนการผลิตที่มาก เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย และมีค่าแรงงานที่ต่ำ

จากวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประการ บริษัทข้ามชาติจะมีทางเลือกในการสร้างฐานการผลิตอยู่ 4 ทางเลือกคือ
- การผลิตที่โรงงานแห่งเดียว แล้วจึงทำการส่งไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
- การผลิตเฉพาะกลุ่มของสินค้า โดยใช้ขั้นตอนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน แล้วขายให้แก่ทุกตลาดทั่วโลก
- การใช้โรงงานผลิตหลายแห่งที่มีสินค้า หรือกระบวนการเหมือนกันทุกแห่ง เพื่อกระจายตลาดอย่างทั่วถึง
- การมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่ง แล้วแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนระหว่างกัน เพื่อให้ทุกแห่งสามารถประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้แก่ตลาดในท้องถิ่นนั้น ๆ

ปรัชญา และกลยุทธ์ที่ใช้ในระบบการผลิต
ระบบการผลิตที่ต่างกัน รวมไปถึงโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียประเภทต่าง ๆ นั้นแตกต่างกัน จำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจปรัชญา และระบบการผลิตประเภทต่าง ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเลือกใช้ และออกแบบระบบการผลิตให้เหมาะสมกับองค์การต่อไป

การสร้างความได้เปรียบด้วยขนาดของการผลิต (Economy of Scale)
การผลิตคราวละมาก ๆ สามารถสร้างความได้เปรียบด้วยขนาดของการผลิตโดยที่การสั่งวัตถุดิบคราวละมาก ๆ ทำให้ได้วัตถุดิบในราคาที่ถูกลง และมีการวางแผนการผลิตที่ง่าย เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนผังของการผลิตค่อนข้างน้อย
ภายในกรอบความคิดของระบบการผลิตแบบคราวละมาก ๆ ฝ่ายการตลาดจะพยากรณ์ความต้องการสินค้าไว้สูงสุดในระยะยาว และวางแผนความต้องการวัสดุสำหรับอนาคต การคงคลังวัตถุดิบ และสินค้าจึงมีความยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าคงคลังสูงตามไปด้วย
การผลิตคราวละมาก ๆ แต่ละขั้นตอนจะทำการผลิตชิ้นงานจำนวนมาก ๆ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะยากที่จะมองเห็น และรับรู้ได้โดยง่าย กว่าจะพบปัญหามักจะล่วงเลยการผลิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ชุดการผลิต (Batch) ซึ่งหมายความว่าอาจจะเสียทั้งชุด หรือนำกลับมาแก้ไขในส่วนที่เสียหายทั้งชุดก็เป็นได้
ดังนั้นจะเห็นว่าการผลิตคราวละมาก ๆ ถึงแม้จะมีความได้เปรียบในเรื่องส่วนลดของวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนในปริมาณมาก ๆ มีการวางการผลิตที่ง่ายกว่าเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนผังน้อยมาก แต่จะมีต้นทุนแฝงอยู่ในรูปแบบของสินค้าที่มีการผิดพลาด และวัสดุคงคลัง รวมทั้งอาจจะเกิดการสับสนในการควบคุมกระบวนการผลิตเนื่องจากงานระหว่างกระบวนการจำนวนมาก

การสร้างความได้เปรียบโดยการกำจัดความสูญเสีย (Waste – free Production)
- การผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just-In-Time : JIT)
เพื่อตอบสนองปรัชญาในการผลิตที่มุ่งเน้นการกำจัดความสูญเสีย หรือกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าต่าง ๆ ออกจากกระบวนการ และลดความสูญเสียที่มาจากการคงคลัง และลดงานระหว่างกระบวนการอันเป็นข้อเสียของการผลิตคราวละมาก ๆ
วัตถุประสงค์ของการผลิตแบบ JIT
o ควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด หรือให้เท่ากับศูนย์
o ลดระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิต
o ขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต
o ขจัดความสูญเปล่าในการผลิต ดังนี้
§ การผลิตมากเกินไป
§ การรอคอย : วัสดุ หรือข้อมูลข่าวสารหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนไหวไม่สะดวก
§ การขนส่ง : มีการขนย้ายในระยะทางที่มากเกินไป
§ กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ
§ การมีวัสดุ หรือสินค้าคงคลัง
§ การเคลื่อนไหว : มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
§ การผลิตของเสีย หรือของที่ไม่มีคุณภาพ


ผลกระทบจากการผลิตแบบ JIT
o ปริมาณการผลิตขนาดเล็ก : ระบบ JIT จะพยายามลดสินค้าคงคลังลงให้น้อยที่สุด จึงสามารถผลิตได้ตามปริมาณที่ต้องการเท่านั้น
o ระยะเวลาการติดตั้ง และการดำเนินงานสั้น : ผลจากการลดขนาดของการผลิตให้เล็กลงทำให้ฝ่ายผลิตต้องเพิ่มความถี่ในการจัดการขึ้น ดังนั้นกระบวนการผลิตจึงต้องลดเวลาการติดตั้งให้สั้นลง เพื่อไม่ให้เกิดความว่างเปล่าของพนักงาน และเครื่องจักร
o วัสดุคงคลังในระบบการผลิตลดลง : ระบบ JIT มีนโยบายที่จะขจัดวัสดุคงคลังสำรองออกไปจากกระบวนการผลิตทั้งหมด
o สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างทั่วถึง


ประโยชน์ที่ได้จากการผลิตแบบ JIT
o ยกระดับคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น และลดของเสียจากการผลิตให้น้อยลง
o ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
o คนงานมีความรับผิดชอบต่องานของตนเอง และงานส่วนรวมมากขึ้น

การผลิตแบบ JIT แม้จะช่วยลดความสูญเสียอย่างที่เคยพบในการผลิตคราวละมาก ๆ แต่การผลิตแบบ JIT จะมีปัญหาตรงที่ต้องคอยปรับตั้งกระบวนการ และมีการวางแผนการผลิตอยู่เสมอ รวมทั้งต้องมีการบริหารความร่วมมือจาก Supplier อีกด้วย ซึ่งโดยสรุปการผลิตแบบ JIT ต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากการผลิตคราวละมาก ๆ ดังนี้
o ต้องมีการจัดสมดุลสายการผลิต สามารถรองรับการผลิตที่หลากหลายได้
o ต้องลด หรือกำจัดเวลาที่ใช้ในการตั้งเครื่องเมื่อเปลี่ยนรุ่นการผลิต
o ต้องลดขนาดการผลิต และการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
o ต้องลดเวลาการผลิต และการส่งมอบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือ และการติดต่อประสานงานที่ดีจากผู้ผลิตภายนอก
o ต้องมีการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงป้องกัน เพื่อให้มีความพร้อมตลอดเวลา
o ต้องมีแรงงานที่มีทักษะหลากหลาย
o ต้องมี Supplier ที่เชื่อถือได้
o ต้องขนถ่ายชิ้นงานระหว่างผลิตคราวละน้อย ๆ หรือถ้าเป็นไปได้คราวละ 1 หน่วย เพื่อลดปริมาณงานระหว่างกระบวนการ



- การผลิตแบบ Lean (Lean Production)
เป็นกระบวนการจัดการที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ โดยเน้นการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า การลดความสูยเสียที่เกิดขึ้น ประกอบกับการพิจารณาหาทางเพิ่มคุณค่าของกิจกรรมในกระบวนการ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด มีต้นทุนต่ำสุด และใช้เวลาการผลิตน้อยที่สุด
แนวคิดของการผลิตแบบลีน (Lean Thinking)
การผลิตแบบลีน คือวิธีการที่มีระบบแบบแผนในการระบุ และกำจัดความสูญเสีย หรือสิ่งที่ไม่เพิ่มคุณค่าภายในกระแสคุณค่าของกระบวนการ โดนอาศัยการดำเนินตามจังหวะความต้องการของลูกค้าด้วยระบบดึง* ทำให้เกิดการไหลอย่างต่อเนื่อง ราบเรียบ และทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ระบบอยู่เสมอ โดยแบ่งเป็นขั้นตอนหลัก 5 ขั้น
1. ระบบคุณค่า (Value) ของสินค้า และบริการในมุมมองของลูกค้า ทั้งลูกค้าภายใน และภายนอก
2. สร้างกระแสคุณค่า (Value Stream) ในทุก ๆ ขั้นตอนการดำเนินการ ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผนและการผลิตสินค้า การจำหน่าย เพื่อพิจารณาว่ากิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เพิ่มคุณค่า และเป็นความสูญเปล่า
3. ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีคุณค่าเพิ่ม ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง (Flow) โดยปราศจากการติดขัด การอ้อม การย้อนกลับ การรอคอย หรือการเกิดของเสีย
4. ใช้ระบบดึง (Pull) โดยให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการเท่านั้น
5. สร้างคุณค่า และกำจัดความสูญเปล่า (Perfection) โดยค้นหาส่วนเกินที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งเป็นความสูญเปล่า และกำจัดต่อไปอย่างต่อเนื่อง

(ระบบดึง หมายถึง ระบบที่กระบวนการถัดไปเป็นผู้ดึงชิ้นงานจากกระบวนการก่อนหน้าเมื่อมีความต้องการ จากนั้นกระบวนการก่อนหน้าจะผลิตชิ้นงานชดเชยเท่ากับปริมาณงานที่ถูกดึงไป)

จะสังเกตเห็นว่า ทั้งระบบการผลิตแบบ JIT และ ลีน ต่างก็มีปรัชญาในการผลิตที่เหมือนกันคือ มุ่งกำจัดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหากทำการผลิตคราวละมาก ๆ แต่การผลิตทั้งสองวิธีต่างก็มีความสูญเสียในเรื่องของเวลาในการปรับตั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร เนื่องจากการเปลี่ยนรุ่นการผลิต และยังคงมีความยุ่งยากในเรื่องของการวางแผนการผลิต รวมถึงการควบคุม Supplier อีกด้วย

ระบบคัมบัง (Kanban System)
ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ JIT ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การทำงานมีการประสานงานที่ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ระบบคัมบังของโตโยต้าใช้แผ่นกระดาษเพื่อเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นสัญญาณแสดงความต้องการให้มีการ “ส่ง” ชิ้นส่วนเพิ่มเติม และใช้แผ่นกระดาษเดียวกัน หรือที่มีลักษณะเหมือนกัน เพื่อเป็นสัญญาณความต้องการให้ “ผลิต” ชิ้นส่วนเพิ่ม(Production Kanban : P-Card) ซึ่งบัตรนี้จะติดไปกับภาชนะที่ใส่วัตถุดิบ หรือระบบบัตรสองใบโดยมีเกณฑ์สำหรับการดำเนินงานดังต่อไปนี้
- ในแต่ละภาชนะจะต้องมีบัตรอยู่ด้วยเสมอ
- หน่วยงานประกอบจะเป็นผู้เบิกจ่ายชิ้นส่วนจากหน่วยผลิตโดยระบบดึง
- ถ้าไม่มีใบเบิกที่มีคำสั่งอนุมัติ จะไม่มีการเคลื่อนภาชนะจากช่องเก็บ
- ภาชนะจะต้องบรรจุชิ้นส่วนในปริมาณที่ถูกต้อง และมีคุณภาพดีเท่านั้น
- ชิ้นส่วนที่ดีเท่านั้นที่จะถูกส่งไปยังสายการผลิต
- ผลผลิตรวมจะไม่มากเกินกว่าคำสั่งการผลิตที่ได้บันทึกลงใน P-Card และวัตถุดิบที่เบิกใช้จะต้องไม่มากเกินกว่าจำนวนชิ้นส่วนที่บันทึกลงใน P-Card

การวางแผน และการควบคุมการผลิต
การวางแผนการผลิต คือการเตรียมวิเคราะห์งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า หรือบริการ โดยศึกษาขั้นตอนการผลิตตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสุดการผลิต รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องจักรในการผลิตต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิต เพื่อให้เกิดผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ
การควบคุมการผลิต คือ การติดตาม และควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้วางแผนการผลิตไปแล้วนั้น เพื่อให้ได้เป้าหมายตามที่ต้องการ

ขอบเขตของการวางแผน และการควบคุมการผลิต
จะครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- งานคาดคะเนยอดความต้องการสินค้า
- งานวางแผน ประกอบด้วย การวางแผนวัตถุดิบต่าง ๆ การวางแผนกำลังคน การวางแผนการใช้เครื่องจักร
- งานควบคุมการผลิต ได้แก่การจ่ายงาน การติดตามผลงาน และการเร่งงาน การหาเวลามาตรฐานการผลิต การควบคุมต้นทุนการผลิต ข้อมูลการผลิต และการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าตามที่กำหนด

ปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผน และควบคุม
- การพยากรณ์ยอดขาย ถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผน
- รูปแบบของผลิตภัณฑ์ ยิ่งมีความซับซ้อนสูง จะยิ่งมีขั้นตอนการผลิตมาก
- การเปลี่ยนแปลงความต้องการผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล ต้องมีการวางแผนที่รอบคอบเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ
- วิธีการผลิต เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการควบคุม

วัตถุประสงค์ในการควบคุมปริมาณการผลิต
เพื่อทำให้การผลิต และการบริการสามารถเสร็จทันตามกำหนดเวลาในปริมาณที่กำหนดตามแผนการผลิต

เทคนิคที่ใช้ในการควบคุม
เทคนิคที่เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้คือ
- แผนภูมิแกนต์ (Gannt Chart)
- เทคนิคของเส้นดุยลภาพ (Line of Balance Technique)
- การควบคุมปัจจัยเข้าและผลได้

ขั้นตอนในการควบคุมตามตารางการผลิต
การติดตามผล และรายงานความก้าวหน้าของงาน เพื่อให้เจ้าของ หรือผู้ควบคุมงานสามารถมองเห็นผลงานที่ทำได้อย่างชัดเจน จะทำให้ทราบถึงความก้าวหน้าของงานที่ทำได้เมื่อเทียบกับงานที่วางไว้ ซึ่งงานต่าง ๆ จะเป็นไปตามแผนได้นั้นขึ้นอยู่กับระบบการควบคุมที่ดี เพื่อทำหน้าที่ติดตาม และตรวจสอบความก้าวหน้าของการทำงาน

การควบคุมด้วยแผนภูมิแกนต์ (Gantt Chart)
เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงความก้าวหน้าของงาน จะใช้ในการกำหนดรายละเอียดตารางการทำงาน และเป็นเครื่องมือในการติดตามความก้าวหน้าของแผนการที่วางไว้อีกด้วย
การรายงานความก้าวหน้าของงาน จะแสดงให้เห็นถึงสภาพการทำงานในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเวลาล่วงเลยไปจะต้องมีการปรับปรุงตารางให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเห็นว่าแผนภูมิแกนต์จะใช้รายงานความก้าวหน้าของการทำงานในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น

การควบคุมโดยใช้เทคนิคของเส้นดุยลภาพ (Line of Balance Technique : LOB)
เป็นเทคนิคที่ใช้ตรวจวัดความก้าวหน้าจองงานที่ได้กระทำไปจริงเทียบกับความก้าวหน้าของงานตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในแผนการผลิต ซึ่งผู้ใช้ต้องกำหนดหาระดับการผลิตของแต่ละขั้นตอนว่า วันใดควรผลิตขั้นตอนใด ปริมาณเท่าใด โดยหาเป็นจำนวนการผลิตสะสมที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน
ดังนั้นเส้นดุลยภาพ ก็คือเส้นซึ่งแสดงตำแหน่ง หรือปริมาณของงาน ณ กำหนดเวลาที่ต้องการควบคุม เพื่อควบคุมและตรวจวัดความก้าวหน้าของการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ว่าสอดคล้องกับตารางการผลิต ณ ตำแหน่งหรือจุดนั้น ๆ หรือไม่
ลักษณะของงานที่จะนำเอาเทคนิคนี้ไปใช้ส่วนมากจะเป็นงานผลิตตามสั่ง หรือมีลักษณะเป็นงานผลิตตามโครงการที่มีขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ กัน อันเนื่องมาจากต้องการส่วนผลิตสำเร็จรูปนั้นหลายหน่วย

การควบคุมปริมาณงานเข้าและออก (Input – Output Control)
เป็นงานที่มีความสำคัญที่จะทำให้ผู้จัดการฝ่ายผลิตทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนหน่วยผลิตนั้น ซึ่งจะมีประโยชน์ในการติดตามความก้าวหน้า และควบคุมปฏิบัติงานของหน่วยผลิตสามารถประเมินได้ตลอดเวลาว่าได้มีการใช้กำลังการผลิตให้เกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด
การวิเคราะห์และรายงานการควบคุมปริมาณงานเข้าและออกของหน่วยผลิตจะทำให้ทราบจำนวนที่ไหลผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามแผนที่วางไว้

ไม่มีความคิดเห็น: