10 พฤศจิกายน 2551

6.การจัดการการผลิตระหว่างประเทศ

6.การจัดการการผลิตระหว่างประเทศ
การผลิตระหว่างประเทศทั้งที่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก และการลงทุนการผลิตในต่างประเทศ มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เพราะการผลิตในแหล่งที่มีต้นทุนทรัพยากรการผลิตที่ต่ำกว่าประเทศแม่ ย่อมสร้างความได้เปรียบแก่ธุรกิจ และการเคลื่อนย้ายทรัยพากรโดยเสรีข้ามพรหมแดนจะมีผลให้ผลผลิตรวมของโลกเพิ่มขึ้นตามทฤษฎีของการค้าระหว่างประเทศ

บทบาทของ Global Logistics ที่มีผลกระทบต่อ Production Management
ปัจจุบันการแข่งขันของธุรกิจอุตสาหกรรมได้รุนแรงขึ้น การติดต่อสื่อสารท่โยงใยโลกให้ใกล้กันทำให้ผู้บริโภคได้รับข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และบริการที่หลากหลาย ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น การผลิตจึงต้องพยายามปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เพิ่มคุณภาพ และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้ได้มากยิ่งขึ้น การผลิตไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบในประเทศที่แพงกว่า ถ้ามีแหล่งทรัพยากรอื่นที่ถูกกว่าเพื่อลดต้นทุนการผลิต ธุรกิจสามารถย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในประเทศที่มีค่าแรงงานต่ำกว่า เพื่อลดต้นทุนและเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของการกีดกันทางการค้า ปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในลักษณะเครือข่าย (Network) ที่เชื่อมโยงกันตั้งแต่ผู้ขาย ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงลูกค้าที่เป็นผู้ใช้ การรวมตัวภายในอุตสาหกรรมเดียวกันในรูปแบบพันธมิตรทางกลยุทธ์ (Strategic Alliance) ก่อให้เกิดอำนาจการต่อรองกับลูกค้ามากขึ้น
ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และการตอบสนองลูกค้าเฉพาะราย (Customization) แพร่หลายมากขึ้น ลูกค้าเริ่มต้องการสินค้า และบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะแบบที่ไม่ซ้ำใคร การผลิตจึงมีแนวโน้มการผลิตต่อ Lot ลดน้อยลง ทำให้ต้องหาวิธีที่จะผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ดึงดูดลูกค้าอยู่เสมอ เพื่อให้ทันกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง และความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการผลิตล้วนมีผลต่อคุณภาพ และต้นทุนของการผลิตเป็นอย่างมาก

ความหมายของการบริหารการผลิต
เป็นการบริหารจัดการเพื่อแปรสภาพปัจจัยนำเข้าให้กลายเป็นผลผลิตที่มีมูลค่ามากกว่าปัจจัยนำเข้า โดยมีองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในกระบวนการผลิต


หน้าที่ในการบริหารการผลิต
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางด้านการเพิ่มผลผลิต คุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบ ซึ่งถือเป็นวัตถุประสงค์หลัก ดังนั้นผู้ที่ทำหน้าที่ในการบริหารการผลิตต้องมีหน้าที่ดังนี้
- กำหนดกลยุทธ์การผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับองค์กรรวมทั้งฝ่ายผลิต
- กำหนดปรัชญา และระบบการผลิตรวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน ต้องมีการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด รู้จักเอาเทคโนโลยี และวิธีการที่ทันสมัยมาใช้
- การพยากรณ์การผลิต เพื่อวางแผนเชิงปริมาณในกิจกรรมอื่นต่อไป
- การวางแผนกำลังการผลิต เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า
- การวางแผนการผลิตรวม เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ใช้ได้อย่างคุ้มค่า และเพื่อให้ได้ผลผลิตตามที่ต้องการ
- การบริหารของคงคลัง ต้องมีการจัดการให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- การเลือกทำเลที่ตั้ง เนื่องจากหากเลือกทำเลที่ตั้งที่ไม่เหมาะสมจะเป็นสาเหตุของต้นทุนอื่น ๆ ตามมา
- การวางผังโรงงาน เพื่อให้งานไหลอย่างคล่องตัว ลดความสูญเสีย สามารถตรวจสอบ และติดตามได้ง่ายที่สุด
- การจัดตารางการผลิต เพื่อความสะดวกของผู้ปฏิบัติว่าในแต่ละช่วงเวลาต้องมีการผลิตอะบ้าง จำนวนเท่าไหร่
- การบริหารแรงงานการผลิต เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
- การบริหารการขนส่งวัสดุ การนำเอาวัตถุดิบจากผู้ผลิตภายนอกเข้าสู่กระบวนการผลิตจนเป็นสินค้า และทำการจัดส่งไปยังผู้ซื้อ
- การบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องจักรเสียหายขณะกำลังทำการผลิตโดยต้องคำนึงถึงต้นทุนการซ่อมแซมอีกด้วย

ประเภทของการผลิต แบ่งตามลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์
- การผลิตตามคำสั่งซื้อ (Made-to-Order) เป็นการผลิตที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การเตรียมการผลิต และวัตถุดิบที่ต้องการใช้ตลอดจนกระบวนการผลิตจึงไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตต้องใช้แบบอเนกประสงค์ แรงงานต้องมีความสามารถ และมีความชำนาญหลายด้าน เพื่อทำการผลิตสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้
- การผลิตเพื่อรอการจำหน่าย (Mode-to-Stock) เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณลักษณะ และมาตรฐานเดียวกันตามความต้องการของลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหญ่ การจัดหาวัตถุดิบ และการเตรียมการผลิตสามารถทำได้ล่วงหน้าได้ เครื่องจักร และอุปกรณ์การผลิตใช้แบบเฉพาะด้าน แรงงานถูกอบรมมาเป็นพิเศษเพื่อทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยเฉพาะ
- การผลิตเพื่อรอคำสั่งซื้อ (Assembly-to-Order) เป็นการผลิตชิ้นส่วนเพื่อประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปได้หลายชนิด ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านั้นจะมีลักษณะแยกออกเป็นส่วนจำเพาะ หรือโมดูล โดยจะผลิตแต่ละโมดูลรอไว้ก่อน เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าจึงทำการประกอบเป็นสินค้าตามลักษณะที่ลูกค้าต้องการ

ประเภทของการผลิตแบ่งตามลักษณะของระบบการผลิต และปริมาณการผลิต
- การผลิตแบบโครงการ (Project Manufacturing) เป็นการผลิตสินค้าที่มีขนาดใหญ่ราคาแพง และมีลักษณะเฉพาะตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การผลิตแบบโครงการมักมีปริมาณการผลิตต่อครั้งน้อยมาก หรือผลิตครั้งละชิ้น และใช้เวลานาน เครื่องมือที่ใช้จึงต้องเป็นแบบอเนกประสงค์ซึ่งเคลื่อนย้ายได้ง่าย และคนงานต้องสมามารถทำงานได้หลายอย่าง จึงต้องใช้แรงงานฝีมือที่ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี
- การผลิตแบบไม่ต่อเนื่อง (Job Shop หรือ Intermitten Production) เป็นการผลิตสินค้าที่มีลักษณะหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า โดยมีปริมาณการผลิตต่อครั้งเป็น Lot มีการเปลี่ยนสินค้าที่ผลิตค่อนข้างบ่อย สินค้ามีมาตรฐานไม่สูงมาก เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ จะถูกรวมกันตามหน้าที่การใช้งานไว้ในสถานีการผลิตแยกเป็นหมวดหมู่ตามส่วนต่าง ๆ ของผังโรงงาน การเดินเครื่องจักรแต่ละครั้งจะเป็นการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งจนได้ปริมาณตามที่ต้องการแล้วจึงเปลี่ยนไปผลิตสินค้าชนิดอื่นโดยใช้เครื่องจักรชุดเดิม
- การผลิตแบบไหลผ่าน หรือการผลิตตามสายการประกอบ หรือการผลิตแบบซ้ำ (Line-Flow or Assembly or Repetitive Production) เป็นการผลิตสินค้าที่เหมือนกันในปริมาณมาก การผลิตแบบไหลผ่านจะมีเครื่องจักร และอุปกรณ์เฉพาะของแต่ละสินค้าแยกกัน โดยไม่มีการใช้เครื่องจักรร่วมกัน ดังนั้นเครื่องจักรที่ใช้จึงเป็นแบบเฉพาะงานเพื่อให้ได้ผลผลิตที่รวดเร็ว และปริมาณมาก ๆ
- การผลิตแบบต่อเนื่อง (Continuous Process or Continuous Flow Production) เป็นการผลิตสินค้าชนิดเดียวในปริมาณมาก ๆ อย่างต่อเนื่องโดยใช้เครื่องจักรเฉพาะอย่าง
- การผลิตแบบเซลลูลาร์ (Cellular Manufacturing) การผลิตแบบเซลลูลาร์ในระบบการผลิตแบบพอเหมาะ จะทำให้ฝ่ายผลิตมีความยืดหยุ่นต่อปริมาณ และรูปบบผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการอันหลากหลายของลูกค้า โดยสามารถเพิ่ม หรือลดคงงานในเซลล์ตามปริมาณความต้องการสินค้าของลูกค้าได้
- ระบบการผลิตแบบเป็นงวด (Batch System) การผลิตแบบนี้เป็นที่นิยมของ SMEs และเป็นระบบการผลิตแบบดั้งเดิม โดยพยายามที่จะประมาณความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน มีเวลาในการปรับตั้งเครื่องจักรหรือระบบแบบคงที่ สินค้าจะถูกผลิตงวดละมาก ๆ ตามปริมาณ EOQ ที่คำนวณไว้ เป้าหมายของระบบการผลิตแบบนื้คือการผลิตเต็มความสามารถของเครื่องจักรอย่างต่อเนื่อง เมื่อแผนกหนึ่งได้ผลิตชิ้นส่นตามจำนวนที่ตั้งไว้เสร็จแล้วจึงถูกส่งไปยังแผนกถัดไป ทำให้มีจำนวนชิ้นงานคงค้างระหว่างการผลิต (Work in Process) สะสมอยู่เป็นจำนวนมาก สินค้าสำเร็จรูปที่ผลิตเสร็จจะถูกเก็บไว้ในคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งจะเก็บสินค้าไว้จนกว่าจะมีคำสั่งซื้อออกไป หากสินค้าคงคลังลดลง หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า หรือสินค้าไม่เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า หรือของตลาด สินค้าเหล่านี้จะไร้ประโยชน์ทันที

กลยุทธ์การผลิตระหว่างประเทศ
บริษัทต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศมักมีการกำหนดกลยุทธ์ในด้านการผลิตโดยมุ่งเน้นเป้าหมายดังต่อไปนี้
- ประสิทธิผลด้านความประหยัด ได้แก่การลดต้นทุนการผลิตต่าง ๆ โดยผ่านการจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ การใช้แรงงานในประเทศที่มีค่าแรงไม่สูง แต่มีระดับของทักษะ และฝีมือที่สามารถยอมรับได้
- การเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ คือระดับของความไว้วางใจในสินค้าของบริษัทในด้านการส่งมอบ และรักษาราคา
- การมีระดับคุณภาพที่ดีทั้งในเชิงปริมาณและในเชิงคุณภาพ
- มีความยืดหยุ่นในการผลิต สามารถที่จะผลิตสินค้าได้หลากหลาย มีการปรับปริมาณการผลิตได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของตลาด
- นวัตกรรม หมายถึงความสามารถที่จะพัฒนาแนวคิด หรือคิดค้นสินค้าใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

การดำเนินงานการผลิตระหว่างประเทศ
ต้องศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การเลือกทำเลที่ตั้ง และกำหนดขนาดของสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมต่อการผลิต
- การเลือกชนิดของกระบวนการผลิตตามความได้เปรียบ เปรียบเทียบที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตในประเทศนั้นต่ำกว่าที่อื่น
- การควบคุมการผลิต
- การเลือกระดับของ Vertical Integration หรือ Outsourcing ของแต่ละโรงงานเพื่อที่จะสามารถป้อนวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง
- การประสานงานกันของหน่วยงานวิจัย และพัฒนาในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
- การถ่ายโดนเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้ในการผลิตจากบริษัทแม่

วัตถุประสงค์ และแนวนโยบายการผลิตระหว่างประเทศ
แบ่งออกเป็น 5 ประการหลัก คือ
- ดำเนินการผลิตในประเทศแม่แล้วทำการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการอย่างกว้างขวาง
- การสร้างฐานการผลิตในแต่ละท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละประเทศ
- การรวมนำแนวคิดแบบสากล และส่วนท้องถิ่นเข้าไว้ด้วยกัน
- การประสานมุมมองแบบสากล
- การสร้างศูนย์กลางของการผลิตซึ่งเกิดขึ้นในทำเลที่ตั้งต่าง ๆ โดยมิได้คำนึงถึงความใกล้ชิดกับตลาดท้องถิ่นต่าง ๆ แต่มุ่งหวังประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้านั้น ๆ

วัตถุประสงค์ในกลยุทธ์การผลิตมีอยู่ 3 ประการคือ
- Technology – Driven Strategy เป็นการกำหนดที่ตั้งโรงงานที่อยู่ใกล้ตลาดขนาดใหญ่ และในประเทศที่มีรายได้สูงโดยบริษัทแม่จะทำการตัดสิน
- Marketing – Intensive Strategy เป็นการกำหนดให้โรงงานตั้งใกล้กับตลาดท้องถิ่น และอยู่ในความดูแลของท้องถิ่นนั้น ๆ
- Low – Cost Strategy เป็นการผลิตซึ่งมีจำนวนการผลิตที่มาก เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย และมีค่าแรงงานที่ต่ำ

จากวัตถุประสงค์ทั้ง 3 ประการ บริษัทข้ามชาติจะมีทางเลือกในการสร้างฐานการผลิตอยู่ 4 ทางเลือกคือ
- การผลิตที่โรงงานแห่งเดียว แล้วจึงทำการส่งไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
- การผลิตเฉพาะกลุ่มของสินค้า โดยใช้ขั้นตอนการผลิตเฉพาะของแต่ละโรงงาน แล้วขายให้แก่ทุกตลาดทั่วโลก
- การใช้โรงงานผลิตหลายแห่งที่มีสินค้า หรือกระบวนการเหมือนกันทุกแห่ง เพื่อกระจายตลาดอย่างทั่วถึง
- การมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนหลายแห่ง แล้วแลกเปลี่ยนชิ้นส่วนระหว่างกัน เพื่อให้ทุกแห่งสามารถประกอบเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้แก่ตลาดในท้องถิ่นนั้น ๆ

ปรัชญา และกลยุทธ์ที่ใช้ในระบบการผลิต
ระบบการผลิตที่ต่างกัน รวมไปถึงโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียประเภทต่าง ๆ นั้นแตกต่างกัน จำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจปรัชญา และระบบการผลิตประเภทต่าง ๆ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเลือกใช้ และออกแบบระบบการผลิตให้เหมาะสมกับองค์การต่อไป

การสร้างความได้เปรียบด้วยขนาดของการผลิต (Economy of Scale)
การผลิตคราวละมาก ๆ สามารถสร้างความได้เปรียบด้วยขนาดของการผลิตโดยที่การสั่งวัตถุดิบคราวละมาก ๆ ทำให้ได้วัตถุดิบในราคาที่ถูกลง และมีการวางแผนการผลิตที่ง่าย เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนผังของการผลิตค่อนข้างน้อย
ภายในกรอบความคิดของระบบการผลิตแบบคราวละมาก ๆ ฝ่ายการตลาดจะพยากรณ์ความต้องการสินค้าไว้สูงสุดในระยะยาว และวางแผนความต้องการวัสดุสำหรับอนาคต การคงคลังวัตถุดิบ และสินค้าจึงมีความยุ่งยาก และมีค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าคงคลังสูงตามไปด้วย
การผลิตคราวละมาก ๆ แต่ละขั้นตอนจะทำการผลิตชิ้นงานจำนวนมาก ๆ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะยากที่จะมองเห็น และรับรู้ได้โดยง่าย กว่าจะพบปัญหามักจะล่วงเลยการผลิตไปแล้วอย่างน้อย 1 ชุดการผลิต (Batch) ซึ่งหมายความว่าอาจจะเสียทั้งชุด หรือนำกลับมาแก้ไขในส่วนที่เสียหายทั้งชุดก็เป็นได้
ดังนั้นจะเห็นว่าการผลิตคราวละมาก ๆ ถึงแม้จะมีความได้เปรียบในเรื่องส่วนลดของวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนในปริมาณมาก ๆ มีการวางการผลิตที่ง่ายกว่าเนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนผังน้อยมาก แต่จะมีต้นทุนแฝงอยู่ในรูปแบบของสินค้าที่มีการผิดพลาด และวัสดุคงคลัง รวมทั้งอาจจะเกิดการสับสนในการควบคุมกระบวนการผลิตเนื่องจากงานระหว่างกระบวนการจำนวนมาก

การสร้างความได้เปรียบโดยการกำจัดความสูญเสีย (Waste – free Production)
- การผลิตแบบทันเวลาพอดี (Just-In-Time : JIT)
เพื่อตอบสนองปรัชญาในการผลิตที่มุ่งเน้นการกำจัดความสูญเสีย หรือกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าต่าง ๆ ออกจากกระบวนการ และลดความสูญเสียที่มาจากการคงคลัง และลดงานระหว่างกระบวนการอันเป็นข้อเสียของการผลิตคราวละมาก ๆ
วัตถุประสงค์ของการผลิตแบบ JIT
o ควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุด หรือให้เท่ากับศูนย์
o ลดระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิต
o ขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต
o ขจัดความสูญเปล่าในการผลิต ดังนี้
§ การผลิตมากเกินไป
§ การรอคอย : วัสดุ หรือข้อมูลข่าวสารหยุดนิ่ง หรือเคลื่อนไหวไม่สะดวก
§ การขนส่ง : มีการขนย้ายในระยะทางที่มากเกินไป
§ กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ
§ การมีวัสดุ หรือสินค้าคงคลัง
§ การเคลื่อนไหว : มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
§ การผลิตของเสีย หรือของที่ไม่มีคุณภาพ


ผลกระทบจากการผลิตแบบ JIT
o ปริมาณการผลิตขนาดเล็ก : ระบบ JIT จะพยายามลดสินค้าคงคลังลงให้น้อยที่สุด จึงสามารถผลิตได้ตามปริมาณที่ต้องการเท่านั้น
o ระยะเวลาการติดตั้ง และการดำเนินงานสั้น : ผลจากการลดขนาดของการผลิตให้เล็กลงทำให้ฝ่ายผลิตต้องเพิ่มความถี่ในการจัดการขึ้น ดังนั้นกระบวนการผลิตจึงต้องลดเวลาการติดตั้งให้สั้นลง เพื่อไม่ให้เกิดความว่างเปล่าของพนักงาน และเครื่องจักร
o วัสดุคงคลังในระบบการผลิตลดลง : ระบบ JIT มีนโยบายที่จะขจัดวัสดุคงคลังสำรองออกไปจากกระบวนการผลิตทั้งหมด
o สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างทั่วถึง


ประโยชน์ที่ได้จากการผลิตแบบ JIT
o ยกระดับคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น และลดของเสียจากการผลิตให้น้อยลง
o ตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
o คนงานมีความรับผิดชอบต่องานของตนเอง และงานส่วนรวมมากขึ้น

การผลิตแบบ JIT แม้จะช่วยลดความสูญเสียอย่างที่เคยพบในการผลิตคราวละมาก ๆ แต่การผลิตแบบ JIT จะมีปัญหาตรงที่ต้องคอยปรับตั้งกระบวนการ และมีการวางแผนการผลิตอยู่เสมอ รวมทั้งต้องมีการบริหารความร่วมมือจาก Supplier อีกด้วย ซึ่งโดยสรุปการผลิตแบบ JIT ต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ต่างจากการผลิตคราวละมาก ๆ ดังนี้
o ต้องมีการจัดสมดุลสายการผลิต สามารถรองรับการผลิตที่หลากหลายได้
o ต้องลด หรือกำจัดเวลาที่ใช้ในการตั้งเครื่องเมื่อเปลี่ยนรุ่นการผลิต
o ต้องลดขนาดการผลิต และการสั่งซื้อในแต่ละครั้ง
o ต้องลดเวลาการผลิต และการส่งมอบ โดยต้องอาศัยความร่วมมือ และการติดต่อประสานงานที่ดีจากผู้ผลิตภายนอก
o ต้องมีการบำรุงรักษาเครื่องจักรเชิงป้องกัน เพื่อให้มีความพร้อมตลอดเวลา
o ต้องมีแรงงานที่มีทักษะหลากหลาย
o ต้องมี Supplier ที่เชื่อถือได้
o ต้องขนถ่ายชิ้นงานระหว่างผลิตคราวละน้อย ๆ หรือถ้าเป็นไปได้คราวละ 1 หน่วย เพื่อลดปริมาณงานระหว่างกระบวนการ



- การผลิตแบบ Lean (Lean Production)
เป็นกระบวนการจัดการที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ โดยเน้นการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า การลดความสูยเสียที่เกิดขึ้น ประกอบกับการพิจารณาหาทางเพิ่มคุณค่าของกิจกรรมในกระบวนการ เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด มีต้นทุนต่ำสุด และใช้เวลาการผลิตน้อยที่สุด
แนวคิดของการผลิตแบบลีน (Lean Thinking)
การผลิตแบบลีน คือวิธีการที่มีระบบแบบแผนในการระบุ และกำจัดความสูญเสีย หรือสิ่งที่ไม่เพิ่มคุณค่าภายในกระแสคุณค่าของกระบวนการ โดนอาศัยการดำเนินตามจังหวะความต้องการของลูกค้าด้วยระบบดึง* ทำให้เกิดการไหลอย่างต่อเนื่อง ราบเรียบ และทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ระบบอยู่เสมอ โดยแบ่งเป็นขั้นตอนหลัก 5 ขั้น
1. ระบบคุณค่า (Value) ของสินค้า และบริการในมุมมองของลูกค้า ทั้งลูกค้าภายใน และภายนอก
2. สร้างกระแสคุณค่า (Value Stream) ในทุก ๆ ขั้นตอนการดำเนินการ ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผนและการผลิตสินค้า การจำหน่าย เพื่อพิจารณาว่ากิจกรรมใด ๆ ที่ไม่เพิ่มคุณค่า และเป็นความสูญเปล่า
3. ทำให้กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีคุณค่าเพิ่ม ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง (Flow) โดยปราศจากการติดขัด การอ้อม การย้อนกลับ การรอคอย หรือการเกิดของเสีย
4. ใช้ระบบดึง (Pull) โดยให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งที่ลูกค้าต้องการเท่านั้น
5. สร้างคุณค่า และกำจัดความสูญเปล่า (Perfection) โดยค้นหาส่วนเกินที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งเป็นความสูญเปล่า และกำจัดต่อไปอย่างต่อเนื่อง

(ระบบดึง หมายถึง ระบบที่กระบวนการถัดไปเป็นผู้ดึงชิ้นงานจากกระบวนการก่อนหน้าเมื่อมีความต้องการ จากนั้นกระบวนการก่อนหน้าจะผลิตชิ้นงานชดเชยเท่ากับปริมาณงานที่ถูกดึงไป)

จะสังเกตเห็นว่า ทั้งระบบการผลิตแบบ JIT และ ลีน ต่างก็มีปรัชญาในการผลิตที่เหมือนกันคือ มุ่งกำจัดความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหากทำการผลิตคราวละมาก ๆ แต่การผลิตทั้งสองวิธีต่างก็มีความสูญเสียในเรื่องของเวลาในการปรับตั้งอุปกรณ์ เครื่องจักร เนื่องจากการเปลี่ยนรุ่นการผลิต และยังคงมีความยุ่งยากในเรื่องของการวางแผนการผลิต รวมถึงการควบคุม Supplier อีกด้วย

ระบบคัมบัง (Kanban System)
ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ JIT ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้การทำงานมีการประสานงานที่ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ระบบคัมบังของโตโยต้าใช้แผ่นกระดาษเพื่อเป็นสัญลักษณ์เพื่อเป็นสัญญาณแสดงความต้องการให้มีการ “ส่ง” ชิ้นส่วนเพิ่มเติม และใช้แผ่นกระดาษเดียวกัน หรือที่มีลักษณะเหมือนกัน เพื่อเป็นสัญญาณความต้องการให้ “ผลิต” ชิ้นส่วนเพิ่ม(Production Kanban : P-Card) ซึ่งบัตรนี้จะติดไปกับภาชนะที่ใส่วัตถุดิบ หรือระบบบัตรสองใบโดยมีเกณฑ์สำหรับการดำเนินงานดังต่อไปนี้
- ในแต่ละภาชนะจะต้องมีบัตรอยู่ด้วยเสมอ
- หน่วยงานประกอบจะเป็นผู้เบิกจ่ายชิ้นส่วนจากหน่วยผลิตโดยระบบดึง
- ถ้าไม่มีใบเบิกที่มีคำสั่งอนุมัติ จะไม่มีการเคลื่อนภาชนะจากช่องเก็บ
- ภาชนะจะต้องบรรจุชิ้นส่วนในปริมาณที่ถูกต้อง และมีคุณภาพดีเท่านั้น
- ชิ้นส่วนที่ดีเท่านั้นที่จะถูกส่งไปยังสายการผลิต
- ผลผลิตรวมจะไม่มากเกินกว่าคำสั่งการผลิตที่ได้บันทึกลงใน P-Card และวัตถุดิบที่เบิกใช้จะต้องไม่มากเกินกว่าจำนวนชิ้นส่วนที่บันทึกลงใน P-Card

การวางแผน และการควบคุมการผลิต
การวางแผนการผลิต คือการเตรียมวิเคราะห์งานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า หรือบริการ โดยศึกษาขั้นตอนการผลิตตั้งแต่แรกเริ่มจนสิ้นสุดการผลิต รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องจักรในการผลิตต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิต เพื่อให้เกิดผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ
การควบคุมการผลิต คือ การติดตาม และควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้วางแผนการผลิตไปแล้วนั้น เพื่อให้ได้เป้าหมายตามที่ต้องการ

ขอบเขตของการวางแผน และการควบคุมการผลิต
จะครอบคลุมกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- งานคาดคะเนยอดความต้องการสินค้า
- งานวางแผน ประกอบด้วย การวางแผนวัตถุดิบต่าง ๆ การวางแผนกำลังคน การวางแผนการใช้เครื่องจักร
- งานควบคุมการผลิต ได้แก่การจ่ายงาน การติดตามผลงาน และการเร่งงาน การหาเวลามาตรฐานการผลิต การควบคุมต้นทุนการผลิต ข้อมูลการผลิต และการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าตามที่กำหนด

ปัจจัยที่มีผลต่อการวางแผน และควบคุม
- การพยากรณ์ยอดขาย ถือเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผน
- รูปแบบของผลิตภัณฑ์ ยิ่งมีความซับซ้อนสูง จะยิ่งมีขั้นตอนการผลิตมาก
- การเปลี่ยนแปลงความต้องการผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล ต้องมีการวางแผนที่รอบคอบเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ
- วิธีการผลิต เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการควบคุม

วัตถุประสงค์ในการควบคุมปริมาณการผลิต
เพื่อทำให้การผลิต และการบริการสามารถเสร็จทันตามกำหนดเวลาในปริมาณที่กำหนดตามแผนการผลิต

เทคนิคที่ใช้ในการควบคุม
เทคนิคที่เป็นที่รู้จัก และนิยมใช้คือ
- แผนภูมิแกนต์ (Gannt Chart)
- เทคนิคของเส้นดุยลภาพ (Line of Balance Technique)
- การควบคุมปัจจัยเข้าและผลได้

ขั้นตอนในการควบคุมตามตารางการผลิต
การติดตามผล และรายงานความก้าวหน้าของงาน เพื่อให้เจ้าของ หรือผู้ควบคุมงานสามารถมองเห็นผลงานที่ทำได้อย่างชัดเจน จะทำให้ทราบถึงความก้าวหน้าของงานที่ทำได้เมื่อเทียบกับงานที่วางไว้ ซึ่งงานต่าง ๆ จะเป็นไปตามแผนได้นั้นขึ้นอยู่กับระบบการควบคุมที่ดี เพื่อทำหน้าที่ติดตาม และตรวจสอบความก้าวหน้าของการทำงาน

การควบคุมด้วยแผนภูมิแกนต์ (Gantt Chart)
เป็นแผนภูมิที่ใช้แสดงความก้าวหน้าของงาน จะใช้ในการกำหนดรายละเอียดตารางการทำงาน และเป็นเครื่องมือในการติดตามความก้าวหน้าของแผนการที่วางไว้อีกด้วย
การรายงานความก้าวหน้าของงาน จะแสดงให้เห็นถึงสภาพการทำงานในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเวลาล่วงเลยไปจะต้องมีการปรับปรุงตารางให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเห็นว่าแผนภูมิแกนต์จะใช้รายงานความก้าวหน้าของการทำงานในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น

การควบคุมโดยใช้เทคนิคของเส้นดุยลภาพ (Line of Balance Technique : LOB)
เป็นเทคนิคที่ใช้ตรวจวัดความก้าวหน้าจองงานที่ได้กระทำไปจริงเทียบกับความก้าวหน้าของงานตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในแผนการผลิต ซึ่งผู้ใช้ต้องกำหนดหาระดับการผลิตของแต่ละขั้นตอนว่า วันใดควรผลิตขั้นตอนใด ปริมาณเท่าใด โดยหาเป็นจำนวนการผลิตสะสมที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน
ดังนั้นเส้นดุลยภาพ ก็คือเส้นซึ่งแสดงตำแหน่ง หรือปริมาณของงาน ณ กำหนดเวลาที่ต้องการควบคุม เพื่อควบคุมและตรวจวัดความก้าวหน้าของการผลิตที่เกิดขึ้นจริง ว่าสอดคล้องกับตารางการผลิต ณ ตำแหน่งหรือจุดนั้น ๆ หรือไม่
ลักษณะของงานที่จะนำเอาเทคนิคนี้ไปใช้ส่วนมากจะเป็นงานผลิตตามสั่ง หรือมีลักษณะเป็นงานผลิตตามโครงการที่มีขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ กัน อันเนื่องมาจากต้องการส่วนผลิตสำเร็จรูปนั้นหลายหน่วย

การควบคุมปริมาณงานเข้าและออก (Input – Output Control)
เป็นงานที่มีความสำคัญที่จะทำให้ผู้จัดการฝ่ายผลิตทราบถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนหน่วยผลิตนั้น ซึ่งจะมีประโยชน์ในการติดตามความก้าวหน้า และควบคุมปฏิบัติงานของหน่วยผลิตสามารถประเมินได้ตลอดเวลาว่าได้มีการใช้กำลังการผลิตให้เกิดประโยชน์มากน้อยเพียงใด
การวิเคราะห์และรายงานการควบคุมปริมาณงานเข้าและออกของหน่วยผลิตจะทำให้ทราบจำนวนที่ไหลผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามแผนที่วางไว้

5.การจัดการการกระจายสินค้า

5.การจัดการการกระจายสินค้า
การกระจายสินค้าเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะเป็นกิจกรรมที่มีผลต่อความภักดีของลูกค้า การกระจายสินค้ามักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลายกันออกไปตามประเภทของผลิตภัณฑ์และตลาด ช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิมจะมีการกระจายสินค้าที่ไม่ขึ้นกับกิจกรรมใด ๆ มีการประสานงานกันอย่างหลวม ๆ ในการส่งมอบสินค้าให้กับผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ซึ่งระบบนี้ต้องลงทุนสูงมากกับสินค้าคงคลัง ผลลัพธ์คือต้นทุนของสินค้าคงคลังที่สูงเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันนี้ต้องใช้การกระจายสินค้าเพื่อปฏิบัติงานเพิ่มเติมเช่น การจัดเก็บ และรวบรวมสินค้าหรือวัสดุที่ใช้แล้ว ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้กับบริษัทผู้ผลิต และผู้กระจายสินค้ามีการนำเอาระบบโลจิสติกส์มาใช้เพื่อส่งสินค้าแล้วกลับคืนในขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มบริโภคจนกระทั่งเลิกใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ
ในบทนี้จะพิจารณา 6 หัวข้อต่อไปนี้
- ความซับซ้อนของการกระจายสินค้า
- สิ่งแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้นกับระบบการกระจายสินค้าระดับโลก
- ระบบโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมค้าปลีก
- ประเด็นระหว่างประเทศในการกระจายสินค้า
- การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์และห่วงโซ่อุปทาน
- การใช้โลจิสติกส์เพื่อส่งสินค้าใช้แล้วกลับคืน

ความซับซ้อนของการกระจายสินค้า
แนวคิดในการเชื่อมโยงระหว่างการกระจายสินค้าและห่วงโซ่อุปทานไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากนักวิชาการหลาย ๆ ท่าน การกระจายสินค้ามักถูกพิจารณาแยกออกมาต่างหาก อย่างไรก็ตามเมื่อการกระจายสินค้าเชื่อมโยงระหว่างการผลิตกับลูกค้าความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่สามารถถูกมองข้ามได้
สถานการณ์บางสถานการณ์ และองค์ประกอบบางประการที่อยู่ภายนอกห่วงโซ่อุปทานจะมีอิทธิพลต่อความต้องการของลูกค้าเช่นฤดูกาล และประเภทแนวโน้มการขายเป็นต้น การผลิตแบบยืดหยุ่นหรือปริมาณการสั่งซื้อ และแรงกดดันเพื่อลดเวลาการประมวลผลซึ่งจะมีอิทธิพลต่อสินค้าคงคลัง และการผลิต
ความซับซ้อนเกิดขึ้นเป็นผลให้อำนาจการต่อรองเปลี่ยนจากผู้ผลิตไปเป็นร้านค้าปลีก การใช้การตลาดเชิงกลยุทธ์จะมีผลต่อกิจกรรมการกระจายสินค้า โดยบริษัทจะต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และประเภทของลูกค้าโดยเน้นตลาดที่แตกต่างกันตามแต่ละประเภทของลูกค้า ขณะที่สินค้ามีวงเวียนชีวิตสั้น การส่งเสริมการตลาดจะยิ่งมีความจำเป็นขึ้น มีแรงกดดันเกี่ยวกับราคามากขึ้น สิ่งที่ผู้บริหารต้องทำคือการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าขั้นสุดท้าย และต้องปกป้องผลกระทบที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการมีผลิตภัณฑ์หลากหลายมากเกินไป และความผันผวนของช่องทางการกระจายสินค้าในท้องถิ่น

สิ่งแวดล้อมใหม่ที่เกิดขึ้นกับระบบการกระจายสินค้าระดับโลก
ช่องทางการกระจายสินค้าแบบดั้งเดิม ศูนย์กระจายสินค้าจะได้รับการจัดส่งสินค้าจากส่วนกลาง และส่งต่อไปยังผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกตามลำดับ ในการดำเนินการที่มีหลายขั้นตอนจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่ามีสินค้าเพียงพอสำหรับผู้บริโภคขั้นสุดท้าย ผลคือระบบมีการตอบสนองที่ช้าทำให้ระดับการให้บริการต่ำ และยิ่งมีระดับความต้องการสูงจะส่งผลให้สินค้าขาดสต๊อก รวมทั้งระดับการหมุนเวียนสินค้าคงคลังต่ำก่อให้เกิดต้นทุนการจัดเก็บที่สูงมากขึ้น
ระบบเก่านี้กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้เกิดการบริการที่รวดเร็วขึ้นและมีต้นทุนในเปลี่ยนแปลงที่ลดต่ำลง กสนเก็บสินค้าคงคลังจะถูกเก็บไว้ที่ส่วนกลางโดยมีระดับการจัดเก็บที่น้อยลง ขจัดการสร้างหรือใช้ศูนย์กระจายสินค้าโดยหันมาใช้ศูนย์กระจายสินค้าจากส่วนกลางหรือการกระจายสินค้าโดยตรงไปยังลูกค้า เราจะพิจารณาตัวอย่างจาก 3 อุตสาหกรรมต่อไปนี้คือ

อุตสาหกรรมร้านค้าปลีก
ในปัจจุบันอุตสาหกรรมค้าปลีกมีการพัฒนาการเติบโตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งร้านค้าปลีกเหล่านี้จำเป็นต้องมีการสั่งสินค้าเข้าร้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการกระจายสินค้า
บริษัทพรอคเตอร์แอนด์แกรมเบิล (P&G) ได้ส่งมอบสินค้ามายังร้านค้าที่เป็น Modern Trade โดยผ่านการจัดส่งจากโรงงานมายังศูนย์กระจายสินค้าของผู้ค้าปลีกโดยใช้ระบบ Cross-Dock หรือจัดส่งให้ผู้ค้าปลีกโดยตรง โดยผ่านทางแนวคิดใหม่เช่น ผ่านทางระบบ VMI เพื่อตอบสนองลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมสิ่งทอ
ผู้จัดส่งสิ่งทอได้ใช้เทคนิคการตอบสนองที่รวดเร็ว (Quick Response) เพื่อลดช่วงเวลาโดยใช้การสื่อสารข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ความจำเป็นสำหรับคำสั่งซื้อ และการส่งมอบที่รวดเร็วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการไม่เพียงแต่ระดับค้าปลีก แต่ยังรวมไปถึงผู้ผลิต ซึ่งจะต้องมีกระบวนการผลิตที่สั้งลงเพื่อตอบสนองได้ดียิ่งขึ้น

อุตสาหกรรมยานยนต์

ส่วนใหญ่มักมีรูปแบบการเก็บรถยนต์ในจำนวนมาก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกแบบ และสีตามที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้นเมื่อมีการผลิตรุ่นใหม่ออกมา ทำให้รถรุ่นเก่าที่ยังอยู่ในสต๊อกตกรุ่นไป ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นได้จัดการปัญหาเหล่านี้โดยจะมีการแสดงรถยนต์เพียงไม่กี่แบบ เพื่อใช้เป็นแบบตัวอย่างให้กับลูกค้า หลังจากที่ลูกค้าเลือกแบบแล้ว แบบและสีที่ลูกค้าต้องการจะถูกส่งไปบยังโรงงานเพื่อที่จะผลิตตามความต้องการของลูกค้า โดยจะใช้เวลาส่งมอบไม่เกินสองสัปดาห์ ความพยายามที่จะลดช่วงเวลาในการสั่งซื้อ และส่งมอบรถยนต์มีเป้าหมายเพื่อที่จะตัดสต๊อกส่วนเกินออกไป
การนำ e-Commerce มาใช้เป็นอีกช่องทางหนึ่งซึ่งจะทำให้การสั่งซื้อรถยนต์สามารถทำได้ผ่านทาง Website โดยลูกค้าสามารถเลือกรุ่น และ Option ต่างๆที่ต้องการ
อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งจะเป็นปัจจัยที่กระทบต่อการจำหน่ายรถยนต์ คือการจำหน่ายรถยนต์อาจจะไม่ใช่แหล่งสร้างกำไรอีกต่อไป แต่จะเป็นการให้ลูกค้าทำการเช่าซื้อและการให้บริการหลังการขาย ซึ่งอาจจะสร้างกำไรได้มากกว่า

กลุ่มผู้ค้าส่ง
บทบาทของผู้ค้าส่งกำลังจะเปลี่ยนไป ในอุตสาหกรรมอาหาร ผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตจะเป็นผู้ดำเนินการศูนย์กระจายสินค้าในการที่จะจัดเก็บแยกประเภทสินค้า และส่งต่อไปยังลูกค้า การขนส่งโดยตรงไปยังผู้จำหน่ายอาจจะถูกเปลี่ยนโดยรวมสินค้าคงคลังไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อดำเนินกิจกรรมทางด้านโลจิสติกส์อื่น ๆ ต่อไป ในขณะที่กลุ่มสินค้าบางประเภทเช่น สินค้าประเภทเวชภัณฑ์ อุปกรณ์สำนักงานและสุขภัณฑ์ ยังจำเป็นต้องใช้ผู้กระจายสินค้าเช่นเดิม

ศูนย์กระจายสินค้า
ศูนย์กระจายสินค้าในอุตสาหกรรมค้าปลีกอาจจะเลือกที่จะจัดเก็บสินค้าคงคลังเพื่อใช้ในการจัดส่งในแต่ละท้องถิ่น การนำเทคนิค Cross-Dock เข้ามาใช้หรือแม้แต่การบรรจุผลิตภัณฑ์ต่าง ๆไว้บน Pallet เพื่อทำการส่งไปยังร้านค้าปลีกต่าง ๆ หรือจะเป็นการนำระบบบริหารคลังสินค้ามาใช้ในการควบคุมสินค้าคงตลัง

ระบบโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมค้าปลีก
เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งและข้อมูลในหลายๆ แง่มุม ระบบการขนส่งที่มีความรวดเร็ว และมีต้นทุนที่ต่ำจะช่วยให้ระบบการเติมเต็มสินค้าทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ระบบข้อมูลจะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถควบคุมสินค้าคงคลัง กระบวนการสั่งซื้อ และการเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภ่าพ

การบูรณาการแนวคิดการกระจายสินค้า
ความสนใจนี้จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม โดยจะมี 4 ขั้นตอนของการบูรณาการดังนี้
- การควบคุมสโตร์แต่ละแห่ง
- การควบคุมศูนย์กระจายสินค้า
- การควบคุมสำนักงานใหญ่
- ส่งมอบแบบทันเวลาพอดี
รูปแบบต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงระบบการเคลื่อนย้ายจากสถานที่ต่าง ๆ มาเป็นการรวมศูนย์ที่ใดที่หนึ่ง การสร้างความสัมพันธ์กับผู้จัดส่งสินค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายของศูนย์กระจายสินค้าโดนประสานเข้ากับระบบการขนส่ง ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบเดิม ๆ ที่มักจะเผชิญหน้ากัน

การเปลี่ยนแปลง และเครือข่ายการจัดส่งสินค้า
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องเครือข่ายการกระจายสินค้า การใช้แนวคิดเกี่ยวกับต้นทุนรวมของการกระจายสินค้าควรเป็นคำตอบในการระบุ และอธิบายจำนวนของศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กับคุณภาพของการให้บริการด้วย
ต้นทุนต่าง ๆ ที่รวมเข้ากับต้นทุนการกระจายสินค้ามีดังนี้คือ
- ต้นทุนการขนส่ง
- ต้นทุนสินค้าคงคลัง
- ต้นทุนในการบริหารคลังสินค้า
- ต้นทุนในการให้บริการ

ต้นทุนการขนส่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ระบบขนส่งแบบปฐมภูมิซึ่งจะทำการขนส่งสินค้าจากโรงงานไปยังศูนย์กระจายสินค้า และระบบขนส่งแบบทุติยภูมิซึ่งจะทำการขนส่งสินค้าจากศูนย์กระจายสินค้าไปยังลูกค้า ซึ่งต้นทุนแบบปฐมภูมิจะลดน้อยลงเมื่อมีศูนย์กระจายสินค้าลดลง ในทางตรงกันข้ามต้นทุนแบบทุติยภูมิกลับมีค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้องใช้ปริมาณรถในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น
ต้นทุนสินค้าคงคลังจะรวมถึงต้นทุนที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย และต้นทุนที่ใช้ในการจัดเก็บสินค้าคงคลัง
ต้นทุนในการบริหารคลังสินค้า จะรวมต้นทุนคงที่ต่าง ๆ เช่นอาคาร รถบรรทุก และอุปกรณ์ต่าง ๆ การนำเอาศูนย์กระจายสินค้าแบบรวมศูนย์มาใช้จะช่วยให้องค์กรนั้นสามารถลดต้นทุนของสิ่งก่อสร้างให้ต่ำลง นอกจากนี้การใช้ระบบอัตโนมัติในการดำเนินการจะทำให้เกิดการประสานงาน และการควบคุมที่ง่ายยิ่งขึ้น ดังนั้นต้นทุนสำหรับศูยน์กระจายสินค้าจะลดลงเมื่อมีจำนวนของศูนย์กระจายสินค้าลดน้อยลง


ตลาดระหว่างประเทศ
มีหลายประเด็นในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศมีอิทธิพลกับการกระจายสินค้าซึ่งควรได้รับการแก้ไข สิ่งหนึ่งคือการเปรียบเทียบระหว่างบทบาทในการควบคุมองค์กรในระดับโลก หรือภูมิภาคต่าง ๆ และการควบคุมในแต่ละประเทศ รวมทั้งประเด็นที่ว่าผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ควรจะเน้นในระดับท้องถิ่น หรือในระดับโลก เพราะการมุ่งเน้นในระดับใดระดับหนึ่งจำเป็นต้องกำหนดกลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป

โครงสร้างของการกระจายระหว่างประเทศ
โครงสร้างการกระจายสินค้าในแต่ละท้องถิ่นควรจะถูกให้บริการสินค้าแบบรวมศูนย์ หรือเน้นในแต่ละท้องถิ่น ทางแก้ปัญหาสองประการไม่ว่าจะเป็นการกระจายสินค้าไปยังสาขาท้องถิ่นโดยใช้ศูนย์กระจายสินค้าของเอง หรือเพื่อที่จะเน้นสินค้าคงคลังในศูนย์กระจายสินค้าของแต่ละภูมิภาค
รูปแบบแบบหนึ่งคือการที่สินค้าจะเคลื่อนย้ายโดยตรงจากการผลิตไปยังลูกค้าโดยไม่มีการใช้ตัวกลาง หรือจุดที่ต้องทำการจัดเก็บสินค้า จะทำให้เกิดต้นทุนที่ต่ำ และมีการขนส่งและระบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในมุมมองของห่วงโซ่อุปทาน ขอบเขตในการควบคุมโดยองค์กรที่รับผิดชอบการขายในแต่ละท้องถิ่นที่มีการกระจายสินค้า ในระบบ Classical System จะให้อิสระและการควบคุมการปฏิบัติการในแต่ละท้องถิ่น แต่ก็จะแยกส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญออกจากห่วงโซ่อุปทานออกจากกัน ทำให้มีการจัดเก็บสินค้าคงคลังเพิ่มมากขึ้น และเกิดปัญหาในเรื่องของการปะปนกันของผลิตภัณฑ์ใหม่และเก่า

Scale และ Cross – Docking
ความต้องการของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป ผู้บริโภคมักจะนิยมซื้อสินค้าจากจุดเดียว แต่มีสินค้าให้เลือกมากมายหลายชนิด ทำให้ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ร้านค้าปลีกทั่วไปที่มีขนาดกลาง ถึงขนาดเล็กประสบกับภาวะที่ย่ำแย่ ในขณะที่ร้านดิสเคาน์สโตร์ต่าง ๆ มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปริมาณสินค้าจำนวนมาก ๆ ที่มีในร้านขายปลีกจะมีอิทธิพลต่อการกระจายสินค้าเนื่องจากจำนวนสินค้าที่มีปริมาณมากขึ้นมีการจัดส่งสินค้าไปยังร้านค้าผ่านระบบ Cross-Dock ณ ศูนย์กระจายสินค้าของร้านค้าปลีก ซึ่งจะทำให้ Supplier สามารถเคลื่อนย้าย และขนส่งสินค้าเหล่านี้ได้ง่ายมากขึ้น

การแยกการจำหน่ายออกจากการกระจายสินค้า
ปกติแล้วการกระจายสินค้าในท้องถิ่นต่าง ๆ มักอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายขายในแต่ละสาขา บริษัทหลายแห่งพบว่าการจัดการกระจายสินค้าแบบรวมศูนย์จำเป็นต้องมีการแยกหน้าที่ของผ่ายขายออกจากกิจกรรมอื่นๆ
การเปลี่ยนแปลงโดยทำการกระจายสินค้าโดยตรงจากศูนย์กระจายสินค้า และส่งทางรถบรรทุกไปยังจุดปล่อยสินค้าในแต่ละประเทศซึ่งทำให้มีการปรับปรุงมากขึ้น โดยสามารถลดสินค้าคงคลังได้ประมาณ 1 ใน 3 การปรับปรุงยอดขายนำไปสู่การขยายตัวของศูนย์กระจายสินค้าซึ่งสามารถรับคำสั่งซื้อ โดยคำสั่งซื้อเหล่านี้มาจากฝ่ายขายและส่งไปยังศูนย์กระจายสินค้าขั้นที่สอง เมื่อศูนย์กระจายสินค้าได้ส่งมอบสินค้าแล้ว ศูนย์อำนวยการจะส่ง Invoice ไปให้กับลูกค้า และให้ลูกค้าไปชำระเงินผ่านทางธนาคารในท้องถิ่นนั้น ๆ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ และการเฉลี่ยต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลงของทั้งศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์อำนวยการ ระบบนี้ทำให้ฝ่ายขายถูกแยกออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่แบบเก่า หันเน้นการให้บริการกับลูกค้ามากขึ้น

ธุรกิจค้าปลีกระหว่างประเทศ
การพัฒนาระบบสารสนเทศ และการลดขั้นตอนการตรวจสอบตามเขตแดนจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกกลายเป็นสากลมากขึ้น
โครงสร้างอำนาจต่อรองในธุรกิจค้าปลีกไม่เพียงแต่เปลี่ยนส่วนแบ่งทางการตลาดเท่านั้น แต่รวมไปถึงการเปลี่ยนโครงสร้างของเครือข่ายการกระจายสินค้า ผู้ค้าปลีกที่มีอำนาจต่อรองสูงยิ่งต้องมีการใช้ข้อมูลรวมกันมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่นระบบ EDI นอกจากนั้นยังอยากให้มีการส่งมอบสินค้าไปบังศูนย์กระจายสินค้าของตนโดยใช้การรวบรวมสินค้าต่าง ๆ เข้าด้วยกันแล้วทำการส่งมอบพร้อมกัน
การจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบการสั่งซื้อโดยเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก ผู้ค้าปลีกสามารถลดสินค้าคงคลังของตน เพิ่มการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง ทำให้เงินมีการหมุนเวียนดีขึ้น ส่วน Supplier จะได้รับข้อมูลที่สามารถคาดการณ์สำหรับการวางแผนการผลิตที่ดีขึ้น

การเติบโต และขยายตัวของระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
การนำเอาระบบ e-Commerce เข้ามาใช้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการต่อโครงสร้าง และกระบวนการกระจายสินค้า ซึ่งระบบนี้จะเป็นการสร้าง Demand หรือความต้องการซึ่งเป็นผลในคำสั่งซื้อของลูกค้า และความพึงพอใจหลังการส่งมอบสินค้า การจัดส่งและการเติมเต็มสินค้า
ระบบการเติมเต็ม (Fulfillment) จะเกี่ยวข้องกับคำสั่งซื้อของลูกค้า การส่งมอบสินค้าจาก Supplier หรือศูนย์กระจายสินค้าไปยังลูกค้า การจัดสถานะของข้อมูล และการติดตามผลหลังการขาย ปัจจัยที่เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือระบบ Software รวมถึงต้นทุนที่ใช้ในการติดตั้งกี่ฝึกอบรมและการดำเนินการด้วย

โครงสร้างของระบบการเติมเต็มสินค้าโดยผ่านการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ระบบการเติมเต็มจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปซึ่งตลาดจะต้องทำการพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

03 พฤศจิกายน 2551

4.โครงสร้างและกระบวนการจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน

4.โครงสร้างและกระบวนการจัดการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน
ห่วงโซ่อุปทานเริ่มต้นมาจากลูกค้า การตัดสินใจของลูกค้าที่มีต่อสินค้า หรือบริการ การส่งมอบ และการชื่มในบริการจะช่วยให้องค์กรสามารถกำหนดลักษณะของห่วงโซ่อุปทาน และความจำเป็นในการปรับปรุงประสิทธิภาพ
การจัดการห่วงโซ่อุปทานจะต้องจัดการเครือข่ายที่จัดส่ง และกระจายวัตถุดิบและสินค้าที่กำลังส่งมอบและบริการที่หลากหลายเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดโลก
เครือข่ายนี้มักเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา การผลิต การกระจายสินค้า การขนส่ง การติดต่อสื่อสารและระบบข้อมูล

ระบบห่วงโซ่คุณค่า
แนวคิดห่วงโซ่คุณค่าจะอธิบายลำดับของกิจกรรมที่สามารถจัดมูลค่าสำหรับการไหลของผลิตภัณฑ์กายในองค์กร

ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการแสดงให้เห็นถึงการจัดการที่แยกออกจากกัน และสินค้ามีการเคลื่อนตัวจากองค์กรหนึ่งไปยังอีกองค์กรหนึ่ง องค์กรแต่ละองค์กรเป็นอิสระกัน ขณะที่ความเกี่ยวพันธ์ระหว่างองค์กรต่าง ๆ จะกลายเป็นอุปสรรคในการประสานงานและการเคลื่อนตัวของผลิตภัณฑ์ อุปสรรคเหล่านี้จำเป็นต้องมีแผนกต่าง ๆ สำหรับแต่ละขั้นตอน ซึ่งลูกค้าคนสุดท้ายจะเป็นคนพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับคุณค่าที่เกิดขึ้น

การรีเอนจิเนียริ่ง
การยกเครื่องระบบธุรกิจ (Business Process Re-engineering) เน้นการสร้างคุณค่าตลอดห่วงโซ่ของกิจกรรมต่าง ๆ แนวคิดคือ การหาวิธีการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งสามารถแบ่งกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็นกิจกรรมที่เพิ่มคุณค่า ซึ่งบางทีอาจไม่เพิ่มมูลค่าแต่สนับสนุนการเพิ่มคุณค่า และกิจกรรมที่สูญเปล่าไม่ก่อให้เกิดคุณค่า แนวคิดนี้สามารถนำมาแก้ปัญหาของหลาย ๆ องค์กร นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับห่วงโซ่อุปทานโดยเป็นจุดเริ่มต้นในการออกแบบห่วงโซ่อุปทาน

โครงสร้างของห่วงโซ่อุปทาน
สมัยก่อนกิจกรรมต่าง ๆ เป็นตัวกำหนดองค์กรแต่ละองค์กร ขณะที่บทบาทเหล่านี้ปัจจุบันได้เปลี่ยนไป ในห่วงโซ่อุปทาน ลำดับกิจกรรมจะเป็นตัวกำหนดกระบวนการไหลของผลิตภัณฑ์ การจัดการห่วงโซ่อุปทานจะเป็นการจัดการกิจกรรมทั้งหมดให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการตลาดกับคู่แข่ง
วัตถุประสงค์หนึ่งของการจัดการห่วงโซ่อุปทานคือ การลดและขจัดต้นทุนสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็นออกไป ซึ่งการมีไว้ของสินค้าคงคลังมีจุดประสงค์ 2 ประการคือ เพื่อป้องกันความต้องการที่ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน และเพื่อป้องกันการจัดส่งวัตถุดิบล่าช้า หรือเกิดความผิดพลาดในการจัดส่งให้กับผู้ผลิต การผลิตแบบทันเวลาพอดีเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ผู้ผลิตมักจะเก็บสินค้าในรูปแบบสินค้าสำเร็จรูปก่อนที่จะส่งไปยังผู้กระจายสินค้า โดยจะจัดเก็บให้ใกล้กับตลาดมากที่สุดเพื่อที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน การสั่งสินค้าเพื่อมาเติมสินค้าคงคลังจะต้องส่งมาจากฝ่ายผลิตทั้งจากผู้ผลิตและผู้จัดส่งสินค้า
กรณีที่ลูกค้าสามารถที่จะรอคอยสินค้าได้ เราไม่จำเป็นต้องมีสินค้าคงคลัง แนวคิดนี้เรียกว่าระบบดึง (Demand Pull) หรือระบบที่ผลิตสินค้าเมื่อมีความต้องการจากลูกค้า ความสำเร็จของแนวคิดนี้อยู่ที่ความรวดเร็วของการผลิต และความต้องการที่สม่ำเสมอ

กิจกรรมเหล่านี้คืออะไร
กิจกรรมเฉพาะ หมายถึงระบบในการไหลของผลิตภัณฑ์ กิจกรรมเหล่านี้ควรจะถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันภายในห่วงโซ่อุปทานถ้ากิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้สามารถที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งลักษณะของกิจกรรมเหล่านี้คือ

  • กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะเกี่ยวพันกัน และมีวัตถุประสงค์ของห่วงโซ่ขณะเป็นระบบ
  • กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้เป็นกิจกรรมที่สามารถจัดการได้
  • เป็นกิจกรรมที่มีนัยทางเศรษฐกิจ สามารถเพิ่มมูลค่าได้ และมีต้นทุนสะสม
  • หน้าที่รับผิดชอบของแผนกต่าง ๆ ภายในห่วงโซ่อุปทานไม่ควรซ้ำซ้อนกัน
  • เป็นกิจกรรมที่มีลักษณะทางเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างแรงจูงใจสำหรับธุรกิจในการที่จะสร้างความชำนาญในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
    · การผลิตจำนวนมาก ๆ
    · การผลิตโดยเน้นกลุ่มลูกค้า
    · ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะอย่าง

    การใช้ Core Competency และ Outsourcing
    ความเชี่ยวชาญหลักขององค์กรจะเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ส่วนกิจกรรมอื่น ๆ อาจจะมีการจ้างหน่วยงานภายนอกมาดำเนินการ ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมนั้นจะช่วยให้องค์กรมีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่
    ความชำนาญ และการใช้ทรัพยากรจากภายนอกเป็นแนวคิดที่เสริมกัน ความชำนาญหลักจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กร การใช้ทรัพยากรภายนอกเป็นการนำเอากิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าไปให้องค์กรอื่นที่สามารถทำได้ดีกว่าทำแทน

    Scale, Scope และ Specialization
    การผลิตจำนวนมาก ๆ เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการกำหนดว่าเมื่อไหร่จำเป็นต้องใช้บริษัทภายนอกเข้ามาช่วยในการผลิต โดยการผลิตจำนวนมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย (Economy of Scale) ซึ่ง Economy of Scale จะหมายถึงการลดต้นทุนโดยใช้เครื่องจักรที่มีอยู่ทำการผลิตผลิตภัณฑ์หลากหลาย ในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้สามารถที่จะใช้องค์กรภายนอกมาดำเนินงาน เนื่องจากปริมาณการผลิตน้อยกว่าที่จะทำการผลิตเอง
    ธุรกิจหลายอย่างอาจจะถูกบังคับให้ดำเนินงานในช่วงต้น ๆ ของการผลิต การใช้บริษัทภายนอกอาจจะใช้ในขั้นตอนต่อมาภายใต้เงื่อนไขของจำนวนการผลิต ซึ่งธุรกิจต่าง ๆ ควรจะใช้องค์กรภายนอกก็ต่อเมื่อไม่สามารถบรรลุถึงการลดต้นทุนต่อหน่วย และความชำนาญเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการใช้ทรัพยากรภายนอก ซึ่งจะทำให้องค์กรได้รับประสบการณ์ และการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การวางสินค้าคงคลังให้ใกล้ตลาดในช่วงเวลาที่เร็วที่สุด
    มีปัจจัยอยู่ 2 ประการที่เกี่ยวข้องในเรื่องของเวลาที่ใช้ในห่วงโซ่อุปทานคือ Speculation และ Postponement
    - Speculation หมายถึงกิจกรรมของการผลิต และการวางสินค้าคงคลังให้ใกล้ตลาดในช่วงเวลาที่รวดเร็วที่สุด เพื่อลดต้นทุนของห่วงโซ่อุปทาน
    - Postponement เป็นการทำให้เปลี่ยนแปลงในรูปของสินค้าล่าช้าออกไปจนกระทั่งบริษัททราบความต้องการของลูกค้าจึงทำการผลิต

    นโยบาย Speculation นี้สามารถลดต้นทุนการผลิต เนื่องจากต้องผลิตเป็นจำนวนมาก ๆ และทำการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถลดต้นทุนการขนส่งเพราะทำการขนส่งในปริมาณมาก ๆ ซึ่งถ้านโยบายนี้มีการจัดการที่ดีจะทำให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะตรงกันข้ามกับนโยบาย Postponement คือมีเป้าหมายเพื่อที่จะลดสินค้าคงคลัง แต่จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นเนื่องจากผลิตทีละไม่มาก รวมทั้งต้นทุนทางการกระจายสินค้า และต้นทุนการให้บริการที่สูงขึ้น

    กลยุทธ์หลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Speculation และ Postponement คือ
    1. Speculation การผลิตสินค้าแต่เนิ่น ๆ
    2. Manufacturing Postponement การหน่วงการผลิต
    3. Logistics Postponement การหน่วงระบบโลจิสติกส์
    4. Full Postponement

    Full Postponement โดยทั่วไปหมายถึงการมีจุดเก็บสินค้าไว้หลายจุด โดยระดับสินค้าคงคลังเป็นตัวกำหนดกระบวนการผลิต ข้อเสียหลัก ๆ คือ มีต้นทุนของอุปกรณ์ต่าง ๆ และสินค้าคงคลังในระดับสูง ต้นทุนของสินค้าคงคลังไม่ใช่แค่ต้นทุนด้านการเงิน แต่ยังรวมไปถึงการล้าสมัยของตัวสินค้า การสูญหายระหว่างการจัดเก็บ และการขนย้าย

    การหน่วงด้านโลจิสติกส์ (Logistics Postponement)
    เรียกอีกอย่างว่ากลยุทธ์การหน่วงการจัดส่ง และการกระจายจนกว่าจะมีความต้องการของลูกค้า เป็นการรวมสินค้าคงคลังไว้ในคลังสินค้ากลาง และศูนย์กระจายสินค้าจะถูกใช้กระจายสินค้าไปยังตลาดท้องถิ่น ข้อดีของกลยุทธ์นี้คือลดสินค้าคงคลัง และช่วยให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละคน รวมทั้งผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิดมากขึ้น ทำให้เกิดการผลิตในปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย และทำให้เกิด Economy of Scope มากขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และต้องมีการเลือกสถานที่สำหรับการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า หรือแม้กระทั่งการกำหนดตำแหน่งที่ตั้งของโรงงาน ซึ่งข้อเสียคือเวลาที่ล่าช้าสำหรับขั้นตอนสุดท้ายของการผลิต และสูญเสียการควบคุมขบวนการผลิต

    ความหมายของ Full Postponement
    คือการหน่วงการผลิตจนกระทั่งได้รับคำสั่งซื้อ การหน่วงจะถูกพิจารณาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การหน่วงการผลิตขั้นต้น ไปจนถึงการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้อดีคือการลดสินค้าคงคลัง และมีความยืดหยุ่นในการผลิตสูง ข้อเสียคือมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งกลยุทธ์นี้จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสูงในกระบวนการผลิต

    ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
    1. ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงวงชีวิตของผลิตภัณฑ์ การออกแบบผลิตภัณฑ์
    2. ความต้องการของตลาด จะเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ข้อกำหนดต่าง ๆ สำหรับเวลาการส่งมอบ การผลิตในจำนวนมาก ๆ โดยเน้นการผลิตที่หลากหลายเพื่อลดต้นทุนการผลิต
    3. การจัดส่ง

3.บทบาทและความสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน

3.บทบาทและความสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน
แนวคิดของห่วงโซ่อุปทานเน้นในเรื่องความสำคัญในการปฏิบัติการของธุรกิจ กรอบแนวคิดของห่วงโซ่คุณค่า แบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์
จัดเป็นหัวใจของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าสินค้า หรือบริการประเภทไหนที่องค์กรจะผลิต และทำการแข่งขันในตลาดอย่างไร

- ความสัมพันธ์กับลูกค้า
การไหล หรือการเคลื่อนตัวซึ่งห้อมล้อมกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตลาด ไม่ว่าจะเป็นการขาย การส่งเสริมการตลาด การสนับสนุนการขาย และการวิจัยตลาด

- ห่วงโซ่อุปทาน
เป็นการไหลของวัสดุ และทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อผลิต และจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย

กิจกรรมหลักเหล่านี้มักจะมีการดำเนินการแยกเป็นอิสระต่อกัน แต่ทุกกระบวนการจะมีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

คำนิยามห่วงโซ่อุปทาน
การจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็นการรวมกันของการวางแผน และการจัดการในทุก ๆ กิจกรรมซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดหา กระบวนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ การจัดการ โลจิสติกส์ และยังรวมไปถึงการประสาน และร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในโซ่อุปทาน ซึ่งประกอบไปด้วย Supplier ลูกค้า หรือผู้ให้บริการลำดับต่าง ๆ สาระสำคัญก็คือ การจัดการโซ่อุปทานเป็นการจัดการในเรื่องของการจัดหา และความต้อการภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัท
การจัดการโซ่อุปทานเป็นการบริหารการทำงานร่วมกันระหว่างกิจการที่อยู่ในสายการผลิตตลอดสาย ตั้งแต่ต้นกระบวนการผลิตไปจนจบกระบวนการที่ผู้บริโภค โดยการแบ่งปันข่าวสารข้อมูลที่จำเป็น และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด

ลักษณะของห่วงโซ่อุปทาน
- ห่วงโซ่อุปทานเป็นกระบวนการที่สมบูรณ์สำหรับการจัดสินค้า และบริการไปสู่ผู้ใช้ขั้นสุดท้าย
- ความเป็นสมาชิกรวมถึงทุก ๆ ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติการที่เกี่ยวกับโลจิสติกส์ตั้งแต่ผู้จัดส่งวัตถุดิบเริ่มต้นจนกระทั่งถึงผู้ใช้ขั้นสุดท้าย
- ขอบเขตและการปฏิบัติการห่วงโซ่อุปทานรวมถึงการจัดหา การผลิตและการกระจายสินค้า
- การจัดการได้มีการขยายขอบเขตออกไปตลอดทั้งองค์กร ซึ่งจะรวมการวางแผน และการควบคุมตลอดจนการปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กร
- สมาชิกทั้งหมดสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลทั่วไป ซึ่งจะช่วยให้มีการประสานงานที่ระหว่างองค์กรต่าง ๆ
- องค์กรที่เป็นสมาชิกสามารถบรรลุเป้าหมายของแต่ละองค์กร ซึ่งขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานโดยรวม

กรอบแนวคิด
แนวคิดในระยะแรก ๆ ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ มีผลกระทบน้อย และไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง โดยจะมีองค์ประกอบหลัก ๆ 3 ส่วนคือ 1. กิจกรรมต่าง ๆ 2. การจัดการ 3. กระบวนการ และการดำเนินการ ซึ่งทั้งหมดถูกเชื่อมโยงเข้าเป็นห่วงโซ่ของกิจกรรม และการตัดสินใจ
ภายใยห่วงโซ่นี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นตัวกำหนดวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ และยังมีสิ่งแวดล้อมภายนอกของอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และประเด็นทางการเมืองระดับท้องถิ่น และระดับโลกมาเป็นผลกระทบด้วย
การจัดการและกระบวนการจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเป็นระบบที่มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นโดยกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะมีการปรับ หรือดัดแปลงเพื่อเพิ่มมูลค่าใหกับกระบวนการไหลของสินค้า กิจกรรมต่าง ๆ สามารถถูกนำมาจัดใหม่โดยเรียงลำดับเพิ่มเติมให้เกิดประสิทธิภาพ หรือประสิทธิผลในการจัดการ

กระบวนการห่วงโซ่อุปทาน
กระบวนการห่วงโซ่อุปทานแบ่งออกเป็น 5 กระบวนการหลักดังต่อไปนี้
1. ผลิตภัณฑ์
การออกแบบผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวกำหนดขั้นตอนการผลิต รวมทั้งกำหนดความต้องการเกี่ยวกับกิจกรรมโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง การจัดเก็บสินค้าคงคลัง และช่วงเวลาการส่งมอบ เป็นต้น
2. การผลิต และกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับการเคลื่อนย้ายสินค้า ทั้งนี้วิธีการและขั้นตอนการผลิตสามารถมีอิทธิพลต่อการจัดเก็บสินค้าคงคลัง การขนส่ง และเวลาการส่งมอบ
3. การจัดหา
การจัดซื้อ และจัดหาสามารถเชื่อมโยงการผลิตเข้าด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ฝ่ายจัดซื้อกลายเป็นเสมือนผู้จัดการที่อยู่นอกฝ่ายผลิต
4. การกระจายสินค้า
เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เชื่อมโยงระหว่างการผลิต และตลาดเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะมีอิทธิพลต่อการให้บริการ และประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์
5. การจัดการความต้องการ
รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตลาด ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า กระบวนการสั่งซื้อสินค้า กิจกรรมการประสานกับตลาด และสนับสนุนการขาย

การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
- บูรณาการแต่ละกิจกรรมให้ใหญ่ขึ้น โดยแต่ละองค์กรมีการจัดการทรัพยากรในแต่ละขั้นตอน กำหนดวัตถุประสงค์ของตัวเอง
- ประสานงาน เพื่อทำให้ความต้องการของตลาด และคำสั่งซื้อสามารถมองเห็นได้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
- การจัดการทรัพย์สินตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะสินค้าคงคลัง เพื่อให้บริการลูกค้า และลดต้นทุน

แนวคิดของห่วงโซ่อุปทานจะเป็นมากกว่าการประสานงาน และการจัดการสินค้าคงคลังจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เพื่อสร้างมูลค่าในสายตาของลูกค้า และยังนำมาใช้เป็นกรอบการจตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร การบูรณาการองค์กรต่าง ๆ เข้าด้วยกันและออกแบบกระบวนการ ซึ่งจะทำให้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรเป็นสิ่งที่เกิดขึเนได้ยาก แต่การลอกเลียนแบบทำได้ยากกว่า

สิ่งแวดล้อมใหม่ของการบริหารระบบโลจิสติกส์ระดับโลก

จะมีการเปลี่ยนแปลง 5 ประการคือ
1. การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของลูกค้า
ความต้องการของลูกค้า และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือบริการ จะกลายเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสั่งซื้อโดยตรง การผลิตสินค้าหรือบริการที่อยู่บนพื้นฐานความต้องการของลูกค้า และการส่งมอบให้ทันเวลาที่ลูกค้าต้องการ
2. การหดตัวของการผลิตแบบแมสโปรดักชั่น
ในอุตสาหกรรมการผลิตหลาย ๆ แห่งได้เปลี่ยนรูปแบบจากการผลิตจำนวนมาก ๆ เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นให้ต่ำลง มาเป็นการผลิตที่เน้นงานฝีมือ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นความต้องการของตลาด และมีการแบ่งส่วนตลาดมากขึ้น การตลาดเฉพาะกลุ่มจะกระตุ้นให้มีการผลิตสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ จะมีการผลิตที่ใช้เวลาอันนั้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นซึ่งจะกระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลง โดยนำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในกระบวนการผลิตมากขึ้นด้วย
3. แนวคิดการจัดเก็บสินค้าคงคลังให้น้อยลง
การผลิตสินค้าในปริมาณน้อยจะช่วยให้ประหยัดต้นทุนในการถือสินค้าคงคลัง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการผลิต และกระจายสินค้า
4. การพัฒนาในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ มากขึ้น เช่นการจัดซื้อจัดหา ซึ่งจะพบว่าห่วงโซ่สั้นลงทำให้เกิดการตอบสนองดีขึ้น
5. องค์กรมีขนาดเล็กลง

24 ตุลาคม 2551

2.การบริหารจัดการโลจิสติกส์ระดับโลก

2.การบริหารจัดการโลจิสติกส์ระดับโลก

ระบบโลจิสติกส์เกิดขึ้นทั่วโลก ตลอด 24 ชม.ต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ และ 365 วันต่อปี ซึ่งระบบเหล่านี้จะต้องมีการบูรณาการ (Intergration) ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านข้อมูลข่าวสาร สินค้าคงคลัง คลังสินค้า การเคลื่อนย้าย บรรจุหีบห่อ ซึ่งแต่ละกระบวนการต้องทำงานประสานกัน

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของระบบโลจิสติกส์
- การลดกฏเกณฑ์ และระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
- การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
- ความต้องการของลูกค้ามีความสลับซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
- การพัฒนา และการนำเอาระบบสารสนเทศมาใช้เพิ่มมากขึ้น
- Global Session ในธุรกิจ

การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศไม่สามารถการนำระบบโลจิสติกส์มาใช้ได้ โดยเฉพาะจะพบว่าธุรกิจต่าง ๆ มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ความต้องการของผู้บริโภคมีความซับซ้อน และเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการค้า (Free Trade Agreement : FTA) ถือว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่สำคัญอีกประการหนึ่ง

ความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน
ประการแรก คือความสามารถที่จะช่วยให้องค์กรอยู่เหนือกว่าคู่แข่ง ทั้งในแง่ของการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยการใช้กระบวนการทางโลจิสติกส์เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
ปัจจัยพื้นฐานสำหรับความสำเร็จในตลาดที่เป็นรูปแบบง่าย ๆ คือ 3C Company(บริษัท) ,Customer(ลูกค้า) , Competitor(คู่แข่ง)
ประการที่สอง คือการดำเนินงานที่มีต้นทุนต่ำกว่า และมีความสามารถในการทำกำไรได้มากกว่าคู่แข่ง

บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักได้เปรียบในด้านความสามารถในการผลิต หรือมีความได้เปรียบในด้านคุณค่า หรือทั้งสองด้านรวมกัน ซึ่งการสร้างความได้เปรียบทางด้านการผลิตมักอยู่ในรูปของการที่มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง และการได้เปรียบทางด้านคุณค่าคือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ หรือสร้างจุดเด่นให้เหนือกว่าคู่แข่ง




การจัดการโลจิสติกส์ จะเป็น การวางแผน และกรอบการทำงานซึ่งจะสร้างแผนในการเคลื่อนย้ายสินค้า และข้อมูลของธุรกิจ
การจัดการโซ่อุปทาน จะเป็น การจัดกรอบการทำงาน และพยายามที่จะทำให้บรรลุผลโดยการเชื่อม และการประสานระหว่างกิจกรรม และกระบวนการต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

การจัดการโซ่อุปทาน คือ การจัดการความสัมพันธ์กับผู้จัดหาสินค้า และลูกค้า เพื่อทำการส่งสินค้า และบริการที่มีคุณค่าเหนือคู่แข่งโดยมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในทุก ๆ กิจกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน

การขยายแนวความคิดออกไปทำให้กำหนดความหมายของห่วงโซ่อุปทานให้มีความถูกต้องมากขึ้นดังนี้คือ เครือข่ายขององค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีการเชื่อมต่อ และเป็นอิสระต่อกัน ทั้งนี้การทำงานต้องมีความร่วมมือเพื่อควบคุม จัดการ และปรับปรุงการเคลื่อนย้ายของวัตถุดิบ และข้อมูลจากผู้จัดส่งสินค้า ไปจนถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย

สิ่งท้าทายโลจิสติกส์ระดับโลก
ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
1. ช่วงเวลาในการส่งมอบสินค้า
2. ช่วงเวลาที่ขยายออกไปสำหรับการพักก่อนส่งสินค้าต่อไป
3. หลักการรวบรวมสินค้าหลากหลายเข้าด้วยกัน
4. วิธีขนส่งที่หลากหลาย และการพิจารณาเกี่ยวกับต้นทุนของการขนส่ง

ช่วงเวลาในการส่งมอบสินค้า
การรวมการผลิตเข้าไว้ด้วยกัน หรือการจำกัดจำนวนฐานการผลิตจะก่อให้เกิดการช่วงชิง และการแข่งขันที่จะตอบสนองความต้องการในตลาดต่าง ๆ ซึ่งแต่ละท้องถิ่นมีความต้องการสินค้า หรือผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน การจัดการระบบการผลิตจะเน้นการใช้ระยะเวลาการส่งมอบสินค้าให้นานขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ

ช่วงเวลาที่ขยายออกไปสำหรับการพักก่อนส่งสินค้าต่อไป
การขนส่ง การรวบรวมสินค้า และพิธีการศุลกากรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าสำหรับห่วงโซ่อุปทานระดับโลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นประเด็นหลักสำหรับบริษัทที่จะดำเนินงานระหว่างประเทศ ผลที่ตามมาคือผู้บริหารมุ่งที่จะชดเชยสำหรับความไม่แน่นอนโดยการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น การเผื่อสต๊อกเป็นสองเท่า และการเพิ่มแรงกดดันเนื่องจากการแข่งขันไปในการผลิต และการจัดสรรแบบรวมศูนย์

หลักการรวบรวมสินค้าหลากหลายเข้าด้วยกัน
บริษัทต่าง ๆ สามารถเลือกใช้ประเภทของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้หลากหลายแนวทาง และจำเป็นต้องเปรียบเทียบระหว่างต้นทุน และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการขนส่งประเภทต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกต่าง ๆ สามารถสรุปได้ดังนี้
o การขนส่งตั้งแต่ต้นทางไปยังตลาด
o รวบรวมสินค้าต่าง ๆ ในภูมิภาค และทำการขนส่งไปยังตลาด
o รวบรวมสินค้าจากแหล่งต่าง แล้วทำการแบ่งกระจายไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ
o รวบรวมสินค้าจากแหล่งต่าง ๆ ในภูมิภาค และทำการแบ่งย่อยไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ

วิธีขนส่งที่หลากหลาย และการพิจารณาเกี่ยวกับต้นทุนของการขนส่ง
โดยการนำเอาหลักการการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบมาใช้ ซึ่งจะช่วยให้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเจรจาตกลงเลือกประเภทการขนส่งสินค้าจัดว่าเป็นงานที่ใช้ทักษะสูงมาก ซึ่งทางเลือกที่ดีมากคือการใช้บริษัทภายนอกมาจัดการขนส่งในแบบ Door – to – Door หรือเรียกอีกอย่างว่า Integrator ซึ่งสามารถจะทำการจัดส่งสินค้าได้อย่างตรงเวลา และมีความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่มีความสลับซับซ้อนน้อย

การจัดการโลจิสติกส์ระดับโลก
เนื่องจากเมื่อนำมาเปรียบเทียบระหว่างบริษัท แต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันในเรื่องของสิ่งแวดล้อมทางการตลาด และลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละประเภท ดังนั้นจีงมีหลักการทั่ว ๆ ไปที่สามารถนำมาใช้ได้เช่น
- โครงสร้างเชิงกลยุทธ์ขององค์กร และการควบคุมการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ / สินค้าต้องเน้นที่การรวมศูนย์ ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรสามารถจัดการต้นทุนต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
- การควบคุมและจัดการการให้บริการต้องเน้นในระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของตลาดเฉพาะแห่ง เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทสามารถที่จะช่วงชิง และรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน
- มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในการใช้บริษัทผู้ให้บริการจากภายนอก (Outsourcing) ยกเว้นกิจกรรมหลักที่สำคัญสำหรับองค์กร
- การสร้างระบบข้อมูลโลจิสติกส์ระดับโลกเป็นกิจกรรมที่จำเป็นต้องทำก่อนกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละท้องถิ่นได้


ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จ และความผิดพลาดในตลาดระดับโลกจะถูกกำหนดไม่เพียงแต่จากความสลับซับซ้อนของเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการ หรือการใช้การสื่อสารทางการตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นหนทางที่เราใช้ในการจัดการ และควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ของโลจิสติกส์ระดับโลก

22 ตุลาคม 2551

1.วิวัฒนการของระบบโลจิสติกส์

1 วิวัฒนการของระบบโลจิสติกส์

ความหมายของโลจิสติกส์

โลจิสติกส์ คือ ส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานซึ่งเป็นกระบวนการในการวางแผน การนำเสนอ และการควบคุมการไหลที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล และการเก็บสินค้า บริการ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากจุดเริ่มต้นไปสู่จุดสุดท้ายของการบริโภคเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) คือ กระบวนการของการวางแผน การเตรียม การนำไปใช้งาน และการประเมินผลของทุกหน้าที่ทางโลจิสติกส์ซึ่งสนับสนุนการดำเนินงาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ

การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) คือ [Christopher ,1988] การจัดการเชิงกลยุทธ์ในการจัดซื้อจัดหา การเคลื่อนย้าย และจัดเก็บวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและสินค้าคงคลัง (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการไหลของข้อมูล) ตลอดทุกหน่วยขององค์กรโดยผ่านช่องทางทางการตลาด เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในด้านต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

การจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) [โอ๊ก บรูก, 2544] กระบวนการวางแผน การปฏิบัติการและควบคุม การเคลื่อนย้าย และการจัดเก็บสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล รวมถึงการให้บริการ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงจุดการบริโภคสินค้า เพื่อวัตถุประสงค์ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า

สรุป
โลจิสติกส์ คือ การออกแบบและการจัดการระบบการควบคุมการเคลื่อนย้าย ที่บริษัทและออกจากบริษัทไปยังลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
หรือ
การเคลื่อนย้ายพัสดุ และข้อมูลตั้งแต่วัตถุดิบไปจนเป็นสินค้าสำเร็จรูป จากต้นทางไปยังปลายทางจนถึงผู้บริโภค โดยมีการประสานงานแต่ละขั้นจอนอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

ความหมายของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)

[Cooper and Ellram]
Supply Chain เป็นวิธีบูรณาการเพื่อจัดการเคลื่อนย้ายสินค้าทั้งหมดในช่องทางจำหน่ายจาก Supplier ไปยังลูกค้าคนสุดท้าย

[Battaglia and Tyndall]
Supply Chain เป็นแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจ และการจัดการกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นลำดับจาก Supplier ถึงลูกค้า ซึ่งเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ตลอดเส้นทางอุปทาน

[Stenger and Coyle]
Supply Chain คือการจัดการบูรณาการกิจกรรมโลจิสติกส์ การแปรสภาพและการบริการอย่างเป็นไปตามลำดับจาก Supplier ไปจนถึงลูกค้าสุดท้ายซึ่งจำเป็นต่อการผลิตสินค้าหรือการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

[Lambert, Cooper and Pagh]
การจัดการ Supply Chain เป็นการบูรณาการกระบวนการธุรกิจหลัก ตั้งแต่ผู้ใช้คนสุดท้าย ไปถึงผู้ผลิตต้นทางซึ่งผลิตสินค้า บริการ และสารสนเทศที่เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสีย

สรุป
Supply Chain เป็นเรื่องของการเคลื่อนย้าย และเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปลายทางผู้บริโภค กระบวนการในแต่ละขั้นห่วงโซ่อุปทานจะช่วยเพิ่มคุณค่าสินค้าตลอดทั้งเส้นทาง

กิจกรรมต่าง ๆ ในระบบโลจิสติกส์
แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก เป็นระบบสินค้า และข้อมูลที่ไหนเข้ามายังบริษัทหรือโรงงานเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เรียกว่า “การจัดการพัสดุ หรือวัตถุดิบ”
ส่วนที่สอง เกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตทำการผลิตสินค้าเสร็จ และสินค้าจะเคลื่อนออกจากบริษัทหรือโรงงานไปยังลูกค้า เรียกว่า “การจัดการการกระจายสินค้า”

การจัดการพัสดุ หรือวัตถุดิบ ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
- การจัดหา (Sourcing หรือ Procurement)
- การจัดซื้อ (Purchasing)
- การขนส่งขาเข้า (Inbound Transport)
- การรับ และการเก็บรักษาสินค้า (Receiving and Storage)
- การจัดการสินค้าคงคลังวัดถุดิบ (Raw Material Inventory Management)

การจัดการการกระจายสินค้า ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
- การประมวลคำสั่งซื้อ (Order Purchasing)
- การจัดการสินค้าคงคลัง (Finished Goods Inventory Management)
- คลังสินค้า (Warehousing)
- การเคลื่อนย้ายพัสดุ (Material Handling)
- การบรรจุหีบห่อ (Packaging)
- การขนส่งสินค้าขาออก (Outbound Transport)
- การบริการลูกค้า (Customer Service)

การจัดการพัสดุ หรือวัตถุดิบ
การจัดหา (Sourcing หรือ Procurement)
คือกระบวนการ และขั้นตอนที่บริษัทนำมาใช้เพื่อจัดหาทรัพยากร(Resource) ที่จำเป็นสำหรับการผลิตสินค้า หรือบริการ ซึ่งต้องคำนึงถึงคุณภาพวัตถุดิบ ความมั่นใจในด้านแหล่งจัดหา และต้นทุนวัตถุดิบ


การจัดซื้อ (Purchasing)
เป็นอีกกิจกรรมที่มีสำคัญ โดยจะพิจารณาจากมูลค่า และประเภทของสินค้า ซึ่งจะมีเทคนิคในการจัดซื้อหลากหลายรูปแบบตามแต่วัตถุดิบที่ต้องการ

การขนส่งขาเข้า (Inbound Transport)
การขนส่ง มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ และมีความสามารถในการแข่งขัน รูปแบบของการขนส่งประกอบด้วยการขนส่งทางถนน ทางรถไฟ ทางน้ำ ทางท่อ และทางอากาศ ซึ่งแต่ละแบบจะมีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป

การรับ และการเก็บรักษาสินค้า (Receiving and Storage)
เมื่อนำวัตถุดิบมายังโรงงาน พนักงานต้องทำการตรวจสอบคุณภาพสินค้า และจำนวนที่รับเข้ามา เมื่อตรวจรับแล้วจะนำมาเก็บรักษาในสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปริมาณ และความถี่ของการใช้งานด้วย

การจัดการสินค้าคงคลังวัดถุดิบ (Raw Material Inventory Management)
วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนเพื่อใช้ในการผลิต สินค้าคงคลังมีไว้เพื่อให้การผลิตดำเนินการอย่างต่อเนื่อง การจัดเก็บสินค้าจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น แหล่งวัตถุดิบ ปริมาณการใช้ และวิธีการขนส่งเป็นต้น

การจัดการการกระจายสินค้า ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
การประมวลคำสั่งซื้อ (Order Purchasing)
การจัดการคำสั่งซื้อเป็นจุดแรกที่ลูกค้าจะสอบถาม และสั่งสินค้า ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อได้หลายช่องทางเช่นโทรศัพท์, FAX, e-Mail หรือ EDI เมื่อได้รับคำสั่งซื้อแล้ว จะตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งซื้อ และแจ้งนัดหมายวันส่งมอบสินค้าแก่ลูกค้า

การจัดการสินค้าคงคลัง (Finished Goods Inventory Management)
คือการเชื่อมโยงระหว่างการวางแผน กับการปฏิบัติการ บทบาทของการจัดการสินค้าคงคลังคือการวางแผนความต้องการสินค้าที่จะเก็บไว้ในสต๊อก และจัดการสินค้าในสต๊อก รวมถึงการจัดการส่งสินค้าให้กับลูกค้า ซึ่งจะต้องทราบว่าสินค้าที่ต้องการอยู่ ณ ที่ใดบ้าง และเมื่อใดวรจะสั่งสินค้ามาเติมเต็ม

คลังสินค้า (Warehousing)
เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าก่อนที่จะส่งมอบให้ลูกค้า โดยมีหน้าที่ในการรวบรวมสินค้าจากโรงงานต่าง ๆ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้า โดยคลังสินค้าอาจจะเป็นสถานที่ผสม หรือปรุงแต่งสินค้า และมีหน้าที่ในการสนับสนุนกิจกรรมด้านการผลิต และการตลาดอีกด้วย

การเคลื่อนย้ายพัสดุ (Material Handling)
เป็นกิจกรรมหนึ่งของการให้บริการคลังสินค้า และเป็นการเคลื่อนย้ายพัสดุในระยะสั้น คือการเคลื่อนย้ายสินค้าเข้า – ออกจากคลังสินค้า เคลื่อนย้ายภายในคลังสินค้า ซึ่งต้องพิจารณาถึงความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความเสียหายของสินค้าด้วย

การบรรจุหีบห่อ (Packaging)
มีความสำคัญกับระบบโลจิสติกส์ด้านค่าใช้จ่าย และความปลอดภัยในตัวสินค้า นอกจากนั้นการบรรจุหีบห่อจะต้องมีการสื่อสาร หรือถ่ายทอดข้อมูล เช่น ผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ หมายเลขสินค้า เป็นต้น

การขนส่งสินค้าขาออก (Outbound Transport)
มักเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปซึ่งจะส่งให้กับลูกค้า หรือเก็บไว้ตามคลังสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้า เป็นการนำสินค้าเข้าใกล้ลูกค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

การบริการลูกค้า (Customer Service)
เป็นปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จของธุรกิจ ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของลูกค้าที่เป็นองค์กรธุรกิจคือกำไร และเป้าหมายของผู้บริโภคคือความพอใจในบริการ

ผู้เกี่ยวข้องหลักในระบบโลจิสติกส์
แบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายคือ
1. ผู้จัดส่งสินค้า
2. ผู้ผลิต
3. ลูกค้า
โดยทั้งสามฝ่ายจะมีการติดต่อซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้สินค้า หรือบริการเกิดการไหล หรือเคลื่อนย้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

20 ตุลาคม 2551

เริ่มต้นง่าย ๆ กับ Genetic Algorithm

Basic Genetic Algorithm
สำหรับองค์ประกอบหลักๆ ของ Genetic Algorithm มีดังนี้
1. Chromosome Encoding
2. Initial Population
3. Fitness Function
4. Genetic Operator -> Selection, Crossover, Mutation
5. Parameters
สามารถแจงรายระเอียดได้ดังนี้

- Chromosome Encoding คือ ขั้นตอนสำหรับแปลงทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ให้อยู่ในรูปแบบของ Chromosome ในการแปลงวิธีการสำหรับแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ ให้อยู่ในรูปแบบของ Chromosome นั้นสามารถที่จะทำได้ในหลายรูปแบบซึ่งแล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละปัญหา
- Initial Population คือ การสุ่มเลือกเพื่อสร้างประชากรต้นแบบขึ้นมาเพื่อใช้เป็นจุดเริ่มต้นของขั้นตอนการวิวัฒนาการขั้นตอนนี้จะเป็นขึ้นตอนแรกที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเร่ิมเข้ากระบวนการของ Genetic Algorithm โดยประชากรกลุ่มแรก หรือประชาการต้นกำเนิด จะเกิดจากการสุ่มเลือกขึ้นมาจาก กลุ่มของประชากรทั้งหมดที่มีอยู่ โดยในการสุ่มเลือกจะทำการสุ่มตามจำนวนของประชากรที่ได้กำหนดไว้เป็น Parameter ของ Algorithm

- Fitness Function คือ ฟังชันสำหรับประเมินค่าความเหมาะสม เพื่อให้คะแนนสำหรับคำตอบต่างๆ ที่เป็นไปได้ของปัญหาโครโมโซมทุกตัวจะมีค่าความเหมาะสมของตัวเองเพื่อใช้สำหรับพิจารณาว่า โครโมโซมตัวนั้น เหมาะหรือไม่ที่จะนำมาใช้สืบทอดพันธุกรรมสำหรับสร้างโครโมโซมรุ่มใหม่ โดยวิธีการสำหรับคิดค่าความเหมาะสมนั้นจะใช้สมการที่สอดคล้องกับแต่ละปัญหา

- Genetic Operator คือ การคำเนินการต่างๆ ตามขั้นตอนของ Genetic Algorithm เพื่อให้การเกิดวิวัฒนาการไปสู่คำตอบที่ดีขึ้น ซึ่งได้แก่ Selection, Crossover และ Mutation

- Parameter คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานของ Genetic Algorithm เช่น ขนาดของประชาการ, ความน่าจะเป็นของการ Crossover หรือ ความน่าจะเป็นของการ Mutation

1. Crossover Probability คือ ความน่าจะเป็นของการเกิด Crossover ซึ่งมีค่าอยู่ในช่วง 0 - 100 โดยทั่วไปค่าความเหมาะสมของความน่าจะเป็นในการเกิด Crossover จะอยู่ที่ 60% - 95% และในกรณีที่ไม่เกิดการ Crossover เกิดขึ้นจะเป็นการทำสำเนา (Copy) รูปแบบของพันธุกรรมจาก Parent ไปสู่ Offspring เลย ยกตัวอย่าง การทำ Crossover เช่น เรากำหนดให้ Crossover Probability มีค่าเป็น 85% ถ้าเราทำการสุ่มเลือกตัวเลขขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบกับค่า Crossover Probability ได้เท่ากับ 20 นั่นคืออยู่ในช่วงที่ <= 85 ในกรณีจะยอมให้เกิดการ Crossover เกิดขึ้น 2. Mutation Probability คือ ความน่าจะเป็นของการเกิด Mutation จะมีค่าอยู่ในช่วง 0 - 100 ส่วนใหญ่ค่าความน่าจะเป็นของการเกิด Mutation จะถูกกำหนดไว้ให้อยู่ในช่วง 0% - 1% ต่อตำเหน่งของ Chromosome ในกรณีที่ไม่มีการ Mutation นั่นหมายความว่ามีเพียงการ Crossover เกิดขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าหากว่า เกิดการ Mutation 100% จะทำให้ทุกตำเหน่งใน Chromosome มีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ซึ่งสำหรับใน Genetic Algorithm นั้นอาจเกิดกรณีนี้ขึ้นได้ แต่ไม่บ่อยนัก ไม่เช่นนั้นการค้นหาจะเปลี่ยนจาก Genetic Algorithm การเป็น Random Search
3. Population Size หรือ จำนวนของประชากรในแต่ละรุ่น ถ้ามีจำนวนมากเกิดไปจะทำให้ต้องเสียเวลาในการประมวลผลมากและทำงานได้ช้าลง หรือ หากน้อยเกินไปก็จะทำให้การค้นหานั้นสามารถที่จะลู่เข้าสู่คำตอบที่เป็น Global Minimum ได้ช้าเกินไป แผนผังลำดับของขั้นตอนการทำงาน

สำหรับเงื่อนไขในการหยุดการทำงาน หรือ Stop Condition นั้น สามารถกำหนดได้หลากหลายรูปแบบเช่น
- ครบรอบการทำงานที่ได้กำหนดไว้- พบเป้าหมายหรือคำตอบที่ต้องการ- พบว่าคำตอบที่ได้เร่ิมลู่เข้าสู่คำตอบที่เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เช่น คำตอบที่ได้จากประชากรแต่ละรุ่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือคงที่เป็นจำนวนที่ติดต่อกัน



ตัวอย่างการนำ GAs มาใช้ในการแก้ปัญหาเขาวงกต
http://www.sambee.co.th/MazeSolver/mazega.htm